หมวดหมู่
บริษัท กาแฟวาวี จำกัด ความสำเร็จจากยอดดอย
คุณไกรสิทธ์ ฟูสุวรรณ ชายหนุ่มจากเชียงใหม่ อดีตกราฟิกดีไซเนอร์บริษัทโฆษณา ที่เคยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตก เมื่อปี 2540 แม้จะล้มลุกคลุกคลานบนเส้นทางธุรกิจแต่เขาก็ไม่ย่อท้อ จากการแนะนำของคุณอา ทำให้เขาได้รู้จักกับสถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี ยอดดอยอันเป็นแหล่งผลิตกาแฟที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีรสชาติดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย เขาจึงเริ่มต้นธุรกิจกาแฟในขณะที่ยังมีหนี้สินติดพันหลายล้านบาท โดยเปิดร้านกาแฟวาวีสาขาแรกที่ปางช้างแม่สาใน พ.ศ. 2544 วันแรกที่กาแฟวาวีเปิดขาย ยอดขายเบ็ดเสร็จ 8 แก้ว รับเงินเข้ากระเป๋า 187 บาท จากรายได้ไม่ถึงสองร้อยบาทในวันแรกนั้น คุณไกรสิทธ์ค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์และสะสมเงินทุน เมื่อถึงจังหวะเหมาะก็เปิดร้านสาขาที่สองบนถนนนิมมานเหมินทร์ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ผ่านไป 4 เดือน คุณไกรสิทธิ์เริ่มตระหนักว่า หากต้องการสร้างธุรกิจให้เติบโต และคิดจะขยายกิจการในรูปแบบขยายสาขาเอง และขายแฟรนไชส์ เขาจำเป็นต้องเพิ่มพูนความรู้เพื่อนำมาใช้ในการบริหารกิจการ จึงเข้าอบรมในโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (NEC) ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้แตกยอดความรู้ไปอีกมากมาย “เข้ามาเรียนวันแรกมีการละลายพฤติกรรม ตอนนั้นผมก็อายุ 34-35 แล้ว แรกๆ ก็เขินๆ นะ แต่พอเรียนไปสักระยะ รู้เลยว่ามันมีประโยชน์มาก อาจารย์สอนให้รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างเป็นลำดับ ในการเปิดร้านสาขาหนึ่ง เราต้องมองให้รอบด้าน คำนวณต้นทุนจริง ต้นทุนแฝง ซึ่งทุกอย่างในบทเรียนใช้ได้ผล ผมนำมาใช้ในชีวิตจริงกว่า 70% อาจารย์ไม่ได้สอนแต่ทฤษฎีเพียงอย่างเดียว แต่นำกรณีตัวอย่างจริงมาสอนด้วย” จากร้านกาแฟเล็ก ๆ ปัจจุบันร้านกาแฟวาวีเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง มีแฟรนไชส์ทั่วประเทศกว่า 20 สาขา คุณไกรสิทธิ์ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขาอย่างไม่หยุดนิ่ง พร้อมกับปักหมุดหมายที่จะนำกาแฟวาวีก้าวขึ้นสู่ระดับสากล เพื่อประกาศศักดากาแฟรสชาติเยี่ยมจากเทือกเขาสูงทางภาคเหนือของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก คุณไกรสิทธ์ ฟูสุวรรณ บริษัท กาแฟวาวี จำกัด 183/2 ม.6 ต.ฟ้าฮ่าม อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โทรศัพท์ : 0 5301 4011-2 เว็บไซต์ : www.wawee.co.th ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ธ.ค. 2557
บริษัท วี.เอส.แอล.อุตสาหกรรม จำกัด คลัสเตอร์เครื่องหนังผนึกความแข็งแกร่ง
ปัจจุบันการแข่งขันทางการค้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรมไทยรอบด้าน ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมเครื่องหนัง คุณสุริยา ประทีปมโนวงศ์ ผู้จัดการ บริษัท วี.เอส.แอล.อุตสาหกรรม จำกัด ผู้บุกเบิกตำนานเครื่องหนังไทย อย่างแบรนด์ DEVY และสวมหมวกอีกหนึ่งใบในฐานะนายกสมาคมเครื่องหนังไทย เล่าว่าในอดีตเครื่องหนังของไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มียอดจำหน่ายสูงทั้งในและต่างประเทศแต่ระยะหลังถูกคู่แข่งอย่างประเทศจีนแย่งตลาดไปไม่น้อย เนื่องจากสินค้ามีราคาถูกกว่า รวมถึงการเปิดเสรีทางการค้าทำให้มีการนำเข้าเครื่องหนังจากต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทย ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้งานฝีมือของคนไทยไม่ก้าวหน้าในตลาดโลกส่วนหนึ่งมาจากงานของไทยไม่เน้นไปที่แฟชั่น แต่เน้นเรื่องของการใช้งานที่คงทน ยาวนาน ซึ่งไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบที่หลากหลาย ทันต่อแนวโน้มแฟชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ให้สามารถแข่งขันกับตลาดสากล สมาคมเครื่องหนังไทยจึงร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในการจัดงานจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดในประเทศ และทำให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักและจดจำมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้รับการสนับสนุนและพัฒนาในหลายด้าน เช่น การสร้างแบรนด์ การออกแบบ การเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาด และการปรับตัวของผู้ประกอบการในการพัฒนาเทคโนโลยี และเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ทำให้ขยายตลาดส่งออกได้ดีแม้ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน โดยปัจจุบันตลาดส่งออกเครื่องหนังของไทยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง เวียดนาม อินโดนีเซีย และอังกฤษ “หลังจากสมาคมฯ ทำงานร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อช่วยกันพัฒนาวงการเครื่องหนังของไทยให้ได้มาตรฐานสากล สินค้าของเราสวยขึ้น ออกมาเป็นสไตล์ที่เมืองนอกต้องการ ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับสมาชิกของสมาคมฯ เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมนี้” ในปี 2558 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะสูงขึ้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงได้นำเอาการพัฒนาวิสาหกิจในลักษณะของการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ มาเป็นแนวทางหนึ่งของกลยุทธ์ที่ทำให้วิสาหกิจเกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยการรวมกลุ่มคลัสเตอร์จะเป็นการเพิ่มพูนประสิทธิภาพให้กับสมาชิกกลุ่มให้สามารถแลกเปลี่ยนถ่ายโอนเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน รวมทั้งเป็นการสร้างอำนาจการต่อรองให้กับสินค้า ผลิตภัณฑ์ และการสั่งซื้อวัตถุดิบ ฯลฯ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านภาคอุตสาหกรรมระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน สำหรับการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเครื่องหนังหรือเรียกว่า คลัสเตอร์เครื่องหนังกลุ่มได้รวมตัวกันเปิดตัวแบรนด์ “CLUS” เป็นครั้งแรก โดยเริ่มแรกมีสินค้า อาทิ รองเท้าคัทชูส์ รองเท้ามอคคาซิน รองเท้าสปอร์ต และรองเท้าแตะ ทั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกภายในกลุ่มตระหนักถึงความสำคัญของการผลิตสินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์และคุณภาพ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ถึงกระบวนในการพัฒนาสินค้าการออกแบบ และการสร้างแบรนด์พร้อมกับโลโก้ ซึ่งจะทำให้เกิดการจดจำแก่ผู้บริโภครวมทั้งการสร้างความร่วมมือของสมาชิกภายในกลุ่มคลัสเตอร์ฯ ในยุค AEC นี้ ในฐานะนายกสมาคมเครื่องหนังไทย คุณสุริยามั่นใจว่า สินค้าเครื่องหนังไทยจะมีอนาคตสดใส ในตลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างแน่นอน คุณสุริยา ประทีปมโนวงศ์ (ผู้จัดการ) บริษัท วี.เอส.แอล.อุตสาหกรรม จำกัด 6/10 หมู่ 9 ซ.วัดบางพึ่งถ.พระราชวิริยาภรณ์ ต.บางพึ่ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โทรศัพท์ : 0 2816 6896-8 โทรสาร : 0 2816 6895 ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน
31 ธ.ค. 2557
บริษัท ซองเดอร์ ไทยออร์กานิคฟูด จำกัด มุ่งมั่นพัฒนาเพื่อคนรักสุขภาพ
เมื่อทายาทรุ่นที่สองของธุรกิจอาหารสุขภาพไร้สารพิษสัญชาติไทย ภายใต้แบรนด์“ซองเดอร์” เภสัชกรหญิงภาคินี จิวัฒนไพบูลย์ ตัดสินใจเข้าร่วมอบรมในโครงการสร้างเสริมผู้ประกอบการใหม่ (New Entrepreneurs Creation : NEC) โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อเติมประสบการณ์ในเชิงการบริหารจัดการ ก่อนที่จะนำพาองค์กรมุ่งสู่ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและมั่นใจ “จากคนที่ไม่รู้เลยว่าแผนธุรกิจคืออะไร ต้องวางแผนการทำงานอย่างไร พอเรียนก็จะรู้ว่าทุกอย่างต้องมีการวางแผนในทุกขั้นตอนการทำงานก่อนที่จะไปถึงจุดหมาย ต้องมีการศึกษาข้อดี ข้อเสียของกิจการว่าคืออะไร เราจะประยุกต์สิ่งที่มีอยู่อย่างไร แล้วจะต่อยอดอย่างไร ในรุ่นพ่อแม่ที่บุกเบิกมาเน้นการผลิต การคัดเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด แต่พอได้ไปอบรม NEC ทำให้รู้ว่าทำผลิตภัณฑ์ให้ดีที่สุดน่ะ ถูกแล้ว แต่เราต้องมีมุมมองด้านการตลาดด้วย” ก่อนจบโครงการ ผู้เข้าร่วมอบรมทุกคนจะต้องทำโปรเจ็กต์ คุณภาคินีใช้หลักการของ SWOT ศึกษาข้อเด่น ข้อด้อยของธุรกิจ ทำให้พบว่าแม้ผลิตภัณฑ์จะมีจุดเด่นที่เป็นออร์กานิค รสชาติอร่อย ดีต่อสุขภาพ แต่แพ็กเกจจิ้งไม่สวยสะดุดตา จึงปรับแพ็กเกจจิ้งใหม่ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นทันทีถึง 50% และสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ซึ่งมีอายุน้อยลง จากก่อนหน้านั้นฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ อบรมครั้งเดียวคงไม่พอ ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างคุณภาคินียังได้เข้าอบรมเพิ่มเติมกับโครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) และนำความรู้ภาคทฤษฎีจากการอบรมมาปรับใช้ในองค์กร ปรับตัวจากธุรกิจครอบครัวมาเป็นองค์กรมืออาชีพที่เป็นระบบระเบียบและสามารถตรวจสอบได้ ยกตัวอย่างเช่น วางระบบบัญชีการเงินให้เป็นมาตรฐาน วางระบบการจัดซื้อใหม่รวมถึงการจัดการสต็อกสินค้าโดยใช้ระบบ FIFO (First in First out) ด้วยรากฐานอันมั่นคงจากรุ่นพ่อแม่ เมื่อรุ่นลูกเข้ามาต่อยอดด้วยความรู้ทางธุรกิจอันทันสมัย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพซองเดอร์ได้รับการยอมรับในระดับมาตรฐานว่า เพื่อสุขภาพที่ดี รสชาติอร่อย ในราคายุติธรรม เภสัชกรหญิงภาคินี จิวัฒนไพบูลย์ บริษัท ซองเดอร์ ไทยออร์กานิคฟูด จำ กัด 106 ถ.สนามบินน้ำต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี โทรศัพท์ : 0 2526 8459 0 2967 1200-1 โทรสาร : 0 2967 1302 เว็บไซต์ : www.xongdur.com ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน
31 ธ.ค. 2557
บริษัท โตว่องไว จำกัด นวัตกรรมรถตอกเสาเข็มสิทธิบัตรรายแรกของโลก
บริษัท โตว่องไว จำกัด เติบโตมาจากการรับจ้างตอกเสาเข็ม ด้วยนวัตกรรมรถตอกเสาเข็มสิทธิบัตรรายแรกของโลกที่ คุณไพศาล ว่องไวกลยุทธ์ ผู้ก่อตั้งบริษัทได้พัฒนาขึ้น แต่กว่าจะสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ชีวิตของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มิหนำซ้ำในชีวิตกลับต้องเจอมรสุมหนักพัดผ่านจนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อต้องลุกขึ้นสู้ใหม่ คุณไพศาลไม่คิดทำอะไรเล็ก ๆ ความคิดเดียวในตอนนั้น คือ ถ้าอยากได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ก็ต้องทำงานใหญ่ สุดท้ายเขาเลือกทำบ้านจัดสรรขาย โดยไม่คาดคิดว่าจะนำพาไปสู่ธุรกิจใหม่ นั่นคือ ธุรกิจตอกเสาเข็ม คุณไพศาลได้รู้จักกับโครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เมื่อ พ.ศ. 2538 จึงสนใจเข้าร่วม แต่ลังเลอยู่อย่างเดียวว่า...ต้องใช้เวลาอบรมถึง 21 วัน “ตอนที่เจ้าหน้าที่ของกรมฯ มาชวนไปอบรม เขาบอกอบรม 21 วัน ผมบอกจะบ้าเหรอ นานมาก งานการเยอะแยะ แล้วจะไปยังไง แต่เขาก็บอกว่า ถ้าไปอบรม 21 วัน คุณจะสบายไป 21 ปี ซึ่งเป็นความจริงมาก” การอบรมครั้งนั้นได้เปิดโลกทัศน์ให้กับเถ้าแก่ภูธรอย่างคุณไพศาล เริ่มจากการรู้จักสร้างทีม การมอบหมายงาน รวมถึงการปรับกระบวนการผลิตใหม่ จากเดิมใช้เวลา 6 เดือน ในการผลิตรถตอกเสาเข็ม 1 คัน ย่นย่อเหลือเพียง 21 วันเท่านั้น และยิ่งทำให้ธุรกิจของเขาก้าวกระโดดมากขึ้น ที่สำคัญยังช่วยจุดประกายให้เกิดแนวคิดในการสร้างสรรค์นวัตกรรมรถตอกเสาเข็มตีนตะขาบรายแรกของโลก “อาจารย์สอนให้ทำ SWOT หาจุดอ่อน จุดแข็ง วิกฤต โอกาส รถตอกเสาเข็มแบบล้อยางของเรามีวิกฤต คือ ฤดูฝนทำงานไม่ได้เพราะล้อลุยพื้นดินอ่อนลำบาก แต่ถ้าจอดทิ้งไว้แล้วจะเอารายได้มาจากไหน แทนที่จะทำรถตอกเสาเข็มชนิดล้อยางอย่างเดียว ก็คิดค้นรถตอกเสาเข็มชนิดตีนตะขาบรายแรกของโลกที่ทำงานได้ทั้งพื้นที่ดินแข็งและดินอ่อน คราวนี้ฤดูฝนผมทำงานได้แล้ว กลายเป็นโอกาสใหม่ที่คนอื่นทำไม่ได้” ปัจจุบัน บริษัท โตว่องไว จำกัด เติบโตอย่างว่องไวสมชื่อ พ.ศ. 2556 เพิ่งฉลองครบ 20 ปีด้วยยอดขายนับร้อยล้านบาทต่อปี มีกำลังการผลิตมากกว่า 200 คันต่อปี ล่าสุด ได้เปิดโรงงานแห่งที่สองบนพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร เพื่อเตรียมตัวรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ใน พ.ศ. 2558 และยังไม่หยุดพัฒนานวัตกรรม ด้วยการเปิดตัวรถตอกเสาเข็มรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงกว่ารถตอกเสาเข็มรุ่นเดิม คุณไพศาล ว่องไวกลยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตว่องไว จำกัด 151 หมู่ที่ 4 ต.สระยายโสม อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี โทรศัพท์ : 0 3555 9567, 0 3555 9155 โทรสาร : 0 3555 9559 เว็บไซต์ : www.toewongwai.co.th ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน
31 ธ.ค. 2557
แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย (ตอนที่ 1)
แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย ตอนที่ 1 ก้าวย่างของยางไทย ในโลกใบนี้มีสรรพสิ่งเกิดขึ้นอยู่มากมาย หากจะเลือกสนใจเรื่องบางเรื่องก็จะทำให้เราเข้าใจสิ่งเหล่านั้นและเห็นภาพต่างๆได้อย่างชัดเจน เรื่องราวของยางธรรมชาติเป็นเรื่องที่เล็กมากๆ ในโลกใบนี้แต่กลับเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเกษตรกรชาวสวนยางของประเทศไทย สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันบนโลกใบนี้เกี่ยวกับสถานการณ์ยางธรรมชาติ โดยเฉพาะยางพาราซึ่งในที่นี้ถือว่าเป็นตัวหลักของเรื่องนี้ ภาคอุปทาน ยางพาราของโลกในปัจจุบัน ปี ค.ศ. 2014 ผลผลิตยางพาราที่ผลิตได้จากแหล่งปลูกยางพาราทั่วโลกรวมกันได้ 12.257 ล้านตัน ในจำนวนนี้ประเทศไทยที่มีสวนยางพารากระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ผลิตยางได้ 4.2 ล้านตัน ซึ่งเทียบส่วนแล้วจัดว่าเป็นประเทศผู้ผลิตยางได้เป็นอันดับ 1 ของโลก รองลงไปก็เป็นประเทศอินโดนีเซียตามลำดับ แนวโน้มปริมาณการผลิตยางพาราของโลกมีปริมาณค่อยๆเพิ่มขึ้นทุกปี ภาคอุปสงค์ ยางพาราของโลกในปีเดียวกันก็มีปริมาณความต้องการใช้ยางพาราในการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ยางพาราในส่วนของประเทศไทยที่ผลิตได้ทั้งหมดเรามีความสามารถนำมาแปรรูปผลิตเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้ในประเทศและส่งออกได้เพียงร้อยละ 13 หรือคิดเป็นปริมาณยางได้ 4.6 แสนตัน ผลผลิตยางส่วนทีอยู่นอกการแปรรูปของเราถูกจำหน่ายให้ภาคอุปสงค์นอกประเทศไปในหลายๆ ประเทศทั้งในแถบยุโรป อเมริกา ฯลฯ และคู่ค้าที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทยที่มีความต้องการใช้ยางพารามากและซื้อยางพาราของไทยนำไปผลิตสินค้าคือประเทศจีน ในมณฑลซานตงซึ่งมีเมืองชิงเต่าเป็นเมืองเอกด้านอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง และเมืองกว่างเหยาก็เป็นเมืองคู่ขนานของเมืองชิงเต่าที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าผลิภัณฑ์ยาพารา โดยเฉพาะการผลิตยางล้อรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ของประเทศจีน ผลิตได้กว่าปีละ 150 ล้านเส้น มูลค่ากว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้ยางพาราไปในกระบวนการผลิตรวม 1 ล้านตันและประมาณครึ่งหนึ่งของยางพาราที่ใช้ได้ซื้อจากประเทศไทย อย่างไรก็ตามการขายยางพาราให้ภาคอุปสงค์นอกประเทศสามารถขายออกไปได้จำนวนหนึ่งซึ่งยังมีปริมาณยางพาราคงค้างที่ผลิตได้อยู่ในสะต๊อกจำนวนมากสะสมมาทุกๆ ปี ประกอบกับมีข้อมูลปริมาณยางเพิ่มขึ้นเป็นผลจากนโยบายของประเทศจีนที่ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้รับสัมปทานพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ 99 ปี แถบทิศเหนือของประเทศลาวเพื่อปลูกยางพาราป้อนอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางของประเทศจีน ข้อมูลตรงนี้ทำให้เราเห็นว่าแนวโน้มต่อจากนี้ไปทั้งปริมาณยางของโลกและราคายางจะไม่มีทางสูงขึ้นอย่างแน่นอนด้วยปัจจัยภาคอุปทานเติบโตมากกว่าภาคอุปสงค์ เกษตรกรชาวสวนยางของไทยคงเห็นอนาคตแล้วของตนเองแล้วว่าจะมีทิศทางขาลง ความจริงที่ผ่านมาจะเห็นปรากฏการที่พี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางออกมาเรียกร้อยให้ภาครัฐช่วยเหลือ หรือให้ช่วยพยุงราคายางพาราให้ จะเห็นได้ทุกปีจนคุ้นชินแล้ว ปัจจุบันในรัฐบาลยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช. ) เรื่องราคายางพาราตกต่ำ ก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญรัฐบาลถือให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะเกษตรกรชาวสวนยางมีความเดือดร้อนมาก ราคาที่ขายได้ต่ำมาก ราคาลงลึกถึงประมาณ 3 กิโลกรัม 100 บาท ไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต เกษตรกรชาวสวนยางจึงออกมาเรียกร้อยให้รัฐบาลรับซื้อหรือประกันราคาให้ 60 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ราคาน้ำยางสด ณ. เวลาปัจจุบัน ราคาตลาดโลกอยู่ที่กิโลกรัมละ 43 บาท ก็อ่านความได้ว่า รัฐบาลคงไม่อาจสนองตอบต่อข้อเรียกร้องนี้ได้ ภายใต้การนำรัฐบาลจาก คสช. ได้ระดมความคิดเห็นจากหลายๆ ภาคส่วนเพื่อแก้ปัญหาอุตสาหกรรมยางทั้งระบบจนเป็นข้อสรุป 4 แนวทาง คือ 1.เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนำยางมาใช้สร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นต้น พร้อมทั้งเร่งการโค่นต้นยางเก่าเพื่อลดอุปทานภายในประเทศ ทำให้ลดผลผลิตยาวในอนาคต 2.ผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น และการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น 3.สร้างตลาดการซื้อขายยางธรรมชาติ โดยเชื่อมโยงให้มีการทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบสินค้าจริงระหว่างเกษตรกรชาวสวนยางกับผู้ซื้อ และ 4.ร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางจัดการเก็บสต็อกยางร่วมกัน ข้อมูลจาก http://in-promote.blogspot.com/2014/12/1.html เรียบเรียง : สิทธิชนคน กสอ.
29 ธ.ค. 2557
ประชาสัมพันธ์การลงทะเบียนผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ปี 2557
ด้วยคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ มอบหมายให้ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ดำเนินการลงทะเบียนผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ปี 2557 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ OTOP ให้เป็นปัจจุบัน จัและเพื่อใช้ประโยชน์ในการกำหนดแผนการส่งเสริมและพัฒนาได้อย่างเหมาะสม จังหวัดลำปางขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงาน สมัครลงทะเบียนเป็นผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ปี 2557 ระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 - 7 ธันวาคม 2557 ณ สำนักพัฒนาชุมชนอำเภอ ที่ผู้ผลิตผู้ประกอบการตั้งกิจการอยู่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนาชุมชนจังหวัดลำปาง ศาลากลางจังหวัดลำปาง โทร 054-265055,054-351054 หรือสำนักพัฒนาชุมชนอำเภอทุกอำเภอ
25 พ.ย. 2557
ประกาศศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 เรื่อง รายชื่อผู้ผ่านการสอบคัดเลือก ตำแหน่ง นิติกร
ประกาศจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 เรื่อง รายชื่อผู้ผ่านการสอบคัดเลือก ตำแหน่ง นิติกร ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2557 เรื่อง รับสมัครเพื่อคัดเลือกเป็นลูกจ้างชั่วคราว (เงินทุนหมุนเวียน) บัดนี้ การสอบได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสอบคัดเลือกดังต่อไปนี้ 1. นายเด่นชัย กงฉายา 2.นางสาวบุญรัตน์ วิจิตรปัญญา 3.นางสาวมุจรินทร์ กลิ่นเกษร 4.นางสาวกรรณิการ์ ไชยชมภู 5.นางสาววิไลพร จันทร์ลี ทั้งนี้ให้ผู้มีรายชื่อลำดับที่ 1 มารายงานเพื่อรับการจัดจ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราว (เงินทุนหมุนเวียน) ตำแหน่ง นิติกร ภายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 399 ม.11 ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานี
18 พ.ย. 2557
ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ ๔ ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นลูกจ้างชั่วคราว (เงินทุนหมุนเวียน)
ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ ๔ ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นลูกจ้างชั่วคราว (เงินทุนหมุนเวียน) ตำแหน่ง นิติกร โดยให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารายงานตัวภายในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ ๔ รายชื่อตามประกาศแนบมาพร้อมนี้ ประกาศ
17 พ.ย. 2557
เรื่อง การขึ้นบัญชีและการยกเลิกบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในตำแหน่งนักวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์ปฏิบัติการ (ด้านเครื่องหนัง)
ประกาศกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เรื่อง การขึ้นบัญชีและการยกเลิกบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในตำแหน่งนักวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์ปฏิบัติการ (ด้านเครื่องหนัง) /Portals/0/สบก/กบ_สบก_/New/40-57.pdf
12 พ.ย. 2557
ประกาศศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 รายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการสอบคัดเลือกเป็นลูกจ้างชั่วคราว (เงินทุนหมุนเวียน)
ประกาศศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 รายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการสอบคัดเลือกเป็นลูกจ้างชั่วคราว (เงินทุนหมุนเวียน) และกำหนดวัน เวลา สถามที่ในการสอบ ตามที่ได้ประกาศศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2557 เรื่องรับสมัครสอบคัดเลือกเป็นลูกจ้างชั่วคราว (เงินทุนหมุนเวียน) ตำแหน่ง นิติกร >>>รายละเอียดเพิ่มเติม<<<
10 พ.ย. 2557