หมวดหมู่
ประชาสัมพันธ์ โครงการเรียนออนไลน์ โดยวิทยากรชั้นนำระดับแนวหน้าของประเทศ
เรียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เรียนผ่านระบบออนไลน์ง่ายๆ ในยุคโควิด ใครที่ทำธุรกิจก็อยากมีกำไรและอยากให้ธุรกิจนั้นเติบโตอย่างแข็งแรง การเรียนรู้โลกธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็น และยิ่งถ้าได้เรียนกับนักธุรกิจแถวหน้าที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์จริงให้คุณแบบไม่กั๊ก โอกาสดี ๆ กลับมาอีกครั้ง "โครงการ Agro Beyond Academy รุ่นที่ 2" กิจกรรมการปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม จัดเต็มด้วยวิทยากรนักธุรกิจชั้นนำ หาฟังได้ยากมากมาย คุณจะได้พบกับวู้ดดี้และแขกรับเชิญคนดังมาร่วมเรียนสดไปพร้อมกัน เรียนออนไลน์อย่างสนุกและได้รับความรู้แบบจัดเต็ม ถามสิ่งที่คุณอยากรู้จากนักธุรกิจตัวจริง เรียนฟรี พร้อมโอกาสเข้าร่วม Workshop เพื่อสร้างคอนเนคชั่นทางธุรกิจ สนใจสมัครคลิก ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.agrobeyond.com #AgroBeyondAcademy #ABA2
12 พ.ค. 2564
ประชาสัมพันธ์โครงการ “Agro Beyond Academy รุ่น 2”
วันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) เวลา 20.00 น. โอกาสดี ๆ ที่คุณไม่ควรพลาด LIVE พิเศษ “Super Talk” กับแขกรับเชิญสุดพิเศษชื่อดัง ที่ประสบความสำเร็จจากเกษตรกรรม จะมาร่วมพูดคุย แชร์ประสบการณ์ พร้อมกับข่าวดีจากโครงการ “Agro Beyond Academy รุ่น 2” โครงการดี ๆ ที่กลับมา โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในการเปิดอบรมเรียนออนไลน์ ที่จะทำให้คุณกลายเป็นสุดยอดผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 22 พฤษภาคม 2564 สนใจสมัครคลิก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.agrobeyond.com #AgroBeyondAcademy #SuperTalk #ABA2
12 พ.ค. 2564
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขอเชิญชวนผู้ประกอบการขอรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย: Made in Thailand (MiT)
”Made in Thailand” ช่วยเพิ่มยอดขายกับภาครัฐ สร้างความน่าเชื่อถือกับคู่ค้า และเปิดโอกาสขยายตลาดสู่ต่างประเทศ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขอเชิญชวนผู้ประกอบการขอรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย: Made in Thailand (MiT) เพียงท่านเป็นผู้ประกอบการที่มีแหล่งผลิตในไทย ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา สามารถยื่นขอการรับรอง Made in Thailand กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ โดยสินค้าต้องมีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% สินค้า Made in Thailand มีแต้มต่อ 60% : ภาครัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ขึ้นทะเบียน MiT อย่างน้อย 60% 90% : มูลค่าหรือปริมาณเหล็กที่ใช้ในงานก่อสร้างของภาครัฐ ต้องใช้เหล็กที่ได้ MiT อย่างน้อย 90% 3% : ผู้ประกอบการไทยสามารถเสนอราคาสูงกว่าผู้ประกอบการต่างชาติที่เสนอราคาต่ำสุด 3% สนใจกรอกรายละเอืยด และ Check ความพร้อมเบื้องต้น สแกน QR code ใน Banner หรือกดปุ่ม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 02-202-4526 / 02-202-4524 E-mail : bmddiprom@gmail.com
11 พ.ค. 2564
คิดเห็นแชร์ : ‘Work From Home เต็มขั้น’ ความปกติใหม่ของใครหลายๆ คน
คอลัมน์ : คิดเห็นแชร์ (มติชนออนไลน์) ผู้เขียน : นายณัฐพล รังสิตพล (อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม) สวัสดีแฟนๆ คิด เห็น แชร์ ทุกท่านครับ Work From Home (WFH) หรือการทำงานจากที่บ้านนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป หลังจากเราผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กันมาตั้งแต่ปี 2563 จนปัจจุบันต้องช่วยกันรับมือเป็นระลอกที่ 3 แล้ว รัฐบาลจึงได้ขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานให้ปรับรูปแบบการทำงานจากที่บ้านอย่างเต็มขีดความสามารถ เพื่อลดความเสี่ยงและลดการแพร่ระบาดไม่ให้ทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก หากดูจากสถานการณ์ในระลอกนี้ อาจส่งผลให้เราต้องทำงานจากที่บ้านกันอีกพักใหญ่ ดังนั้น เราคงต้องหาแนวทางและวิธีการในการทำงานที่บ้านอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพเหมือนกับการมาทำงานที่ออฟฟิศกันครับ ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีงานศึกษาวิจัยเผยแพร่ในเว็บไซต์ Harvard Business Review ได้ศึกษากรณีศึกษาการให้พนักงานทำงานที่บ้านของบริษัทด้านการท่องเที่ยวของประเทศจีน โดยทดลองให้พนักงานทำงานที่บ้านเป็นระยะเวลา 2 ปี พบว่าการทำงานที่บ้านช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ถึง 13% และช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ถึง 50% ผลจากการศึกษานี้ สรุปได้ว่าการทำงานที่บ้านช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น พนักงานมีความสุขมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายขององค์กร และพนักงานลาออกน้อยลง อย่างไรก็ดี จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายองค์กรได้ปรับให้มีการทำงานที่บ้านมากขึ้น ซึ่งมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานที่บ้านและพบว่ายังมีจุดบกพร่องอยู่ ดังเช่น อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ให้เหตุผลว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ทุกคนต้องอาศัยอยู่ภายในบ้าน หลายคนมีลูกหรือครอบครัวที่ต้องดูแล ต้องนั่งทำงานภายในห้องนอน ไม่มีห้องส่วนตัว หรือต้องแชร์ห้องกับคนอื่น ทำให้มีสิ่งที่รบกวนในการทำงานมากมาย นอกจากนี้ การไม่ได้ไปทำงานที่ออฟฟิศ ยังลดการมีปฏิสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ลดแรงกระตุ้นในการทำงานลดลง อีกทั้งการทำงานที่บ้านเป็นเวลานาน ยังทำให้เกิดความเหงาและความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุขภาพจิตแย่ลงอีกด้วย จากประสบการณ์จริงในการทำงานที่บ้านของบริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) องค์กรยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้านแบบถาวร 100% ตั้งแต่ปี 2020 โดยอาศัยความชำนาญของบริษัทในด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการทำงานที่บ้านได้เต็มรูปแบบ ซึ่งบริษัทไมโครซอฟท์พบว่า การปรับองค์กรเพื่อทำงานที่บ้าน จำเป็นต้องมี 2 องค์ประกอบหลัก คือ เครื่องมือทางด้านดิจิทัลต่างๆ และนโยบายองค์กรที่มีความยืดหยุ่นและต้องเน้นความสำคัญกับผลลัพธ์ของการทำงาน มากกว่ากระบวนการขั้นตอนในการทำงาน ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ ช่วยให้องค์กรสามารถปรับรูปแบบจากการทำงานที่ออฟฟิศเป็นการทำงานที่บ้านได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่าการทำงานที่บ้านให้มีประสิทธิภาพนั้น ประกอบด้วยหลายปัจจัย ถึงแม้ว่าการทำงานที่บ้านจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทาง แต่ก็เพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่บ้าน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ หรือค่าอินเตอร์เน็ต ในขณะเดียวกัน การทำงานที่ออฟฟิศย่อมมีสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกและความพร้อมในการทำงานที่ดีกว่า รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานอย่างใกล้ชิด เกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่ดี จากการศึกษาจากประสบการณ์ทำงานที่บ้านจริงในหลายๆ แหล่ง พบว่ามี 5 ข้อแนะนำดีๆ ที่น่าจะนำมาประยุกต์ใช้และเหมาะสมกับบรรยากาศการทำงานแบบไทยๆ จึงอยากแชร์ให้ทุกท่านได้ลองนำไปทดลองปฏิบัติ เพื่อให้การทำงานที่บ้านเกิดประสิทธิภาพที่ดีและมีความสุข ดังนี้ครับ 1.วางแผนการทำงาน โดยมีปฏิทินการทำงาน กำหนดเป้าหมาย จัดทำเช็กลิสต์และบันทึกการทำงาน เพื่อควบคุมการทำงานของตนเอง เนื่องจากการทำงานที่บ้านจะไม่มีทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานคอยควบคุมหรือกระตุ้นในการทำงาน 2.เตรียมพร้อมสำหรับการติดต่อสื่อสาร โดยก่อนเริ่มงานและเลิกงาน ควรมีการประชุมกับหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล ติดตามงานผ่านระบบออนไลน์ เพราะการทำงานที่บ้านเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบเรื่องปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์กับลูกค้า และบุคคลภายนอก ตลอดจนความผูกพันต่อองค์กร 3.สร้างบรรยากาศและจัดสภาพแวดล้อมในมุมที่ใช้ทำงานให้เหมาะสม โดยแยกพื้นที่ทำงานให้ชัดเจน เตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ และแสงสว่าง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานที่มีประสิทธิภาพ 4.ตัดสิ่งเร้าที่คอยรบกวนสมาธิและเบี่ยงเบนความสนใจในระหว่างการทำงานออกไป โดยทำการตกลงกับคนในครอบครัวและแยกตัวออกมาทำงาน ปิดและยกเลิกสิ่งที่คาดว่าจะรบกวนการทำงาน เช่น การดูโทรทัศน์ ฟังเพลง เล่นเกม หรือแม้แต่งานบ้าน เป็นต้น เพื่อให้สามารถโฟกัสในเวลาทำงานได้ดียิ่งขึ้น 5.อาบน้ำและแต่งกายให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มงาน โดยกำหนดเวลาเริ่มงานและเลิกงานให้เหมือนเวลาทำงานที่ออฟฟิศ เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวและรับรู้สัญญาณว่าพร้อมสำหรับการทำงานแล้ว สุดท้ายนี้ เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เราจำเป็นต้องทำงานจากที่บ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องปรับตัวให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าในช่วงแรกอาจจะยังดูติดขัดและยังไม่คุ้นชิน แต่สถานการณ์จะทำให้เราสามารถปรับตัวจนคุ้นเคยได้ และในที่สุด การทำงานที่บ้านก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม บนความปกติใหม่ หรือ New Normal ของใครอีกหลายๆ คน ที่ต้องปรับตัวและเรียนรู้ไปด้วยกัน ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/eco-report/news_2712212
09 พ.ค. 2564
เห็ดทอด พริกกรอบ สแน็กสุขภาพ แบรนด์ เอิบอิ่ม ยกระดับกระบวนการผลิตตามมาตรฐานสากล
เพราะอยากให้เกษตรกรและคนรับประทานมีความสุขเอิบอิ่ม อิ่มเอมกาย สบายใจ จึงเป็นที่่มาของแบรนด์เอิบอิ่ม แห่งบริษัท เอิบอิ่ม แอนด์ มี ฟูดส์ จำกัด บริหารกิจการ โดย คุณวรรณา รุ่งคำ เจ้าของฟาร์มเห็ดที่่ผันตัวเองมาเป็น เจ้าของผลิตภัณฑ์แปรรูปเห็ดขอน ที่่มีคุณค่าทางอาหาร และราคาสูง ผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศ และต่างประเทศคือ เห็ดทอดปรุงรส ขนมเห็ดอบกรอบ และล่าสุดคือ พริกกรอบ ทำจากพริกขี้้หนููแห้งเม็ดใหญ่ นำไปทอดกรอบและอบเพื่อไล่น้ำมัน รสชาติอร่อยแซ่บแบบไทย ๆ มี 2 รสชาติให้เลือก รสต้นตำรับและรสต้มยำ วาง Position สินค้าให้เป็นขนมเพื่อสุขภาพ จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำและส่งออกต่างประเทศ อาทิ อินเดีย สหรัฐอเมริกา กัมพููชา จีน โดยเฉพาะตลาดประเทศจีน ลูกค้าตอบรับดีมาก ด้วยจุดเด่นขององค์กรที่่มีผลิตภัณฑ์คุณภาพ แปลกใหม่ ได้รับการตอบรับที่่ดีอยู่แล้ว แต่บุุคลากรยังขาด ความรู้ด้านมาตรฐาน GMP CODEX (Good Manufacturing Practices) จึงเข้าร่วมกิจกรรมการส่งเสริมและพัฒนา SMEs เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ระบบมาตรฐานสากล ภายใต้โครงการการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับ องค์กรให้มีมาตรฐานมากขึ้น “3 เดือนกับการอบรมทำให้มีความรู้้เกี่ยวกับ ข้อกำหนดมาตรฐานสากลมากขึ้น สิ่งไหนที่่บกพร่อง เราก็แก้ไข ปรับปรุงทั้งเรื่องระบบ การจัดทำเอกสาร และขั้นตอนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพขอบคุณอาจารย์ ที่ปรึกษาและศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 7 ที่่ให้คำแนะนำ และงบสนับสนุน จนเรามีความพร้อมขอรับรองมาตรฐาน GMP CODEX เพื่อรองรับการผลิตที่่มีคุณภาพมาตรฐาน สากลเพื่อการส่งออก” ปัจจุุบันบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP Codex เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้มีผลิตภาพจากยอดขาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 - 30 คิดเป็นมูลค่า 500,000 บาทต่อปี และมีลูกค้าใหม่จากต่างประเทศ คือ อังกฤษและเยอรมัน ให้ความสนใจนำ ผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายด้วย คุณวรรณา รุ่งคำ บริษัท เอิบอิ่ม แอนด์ มี ฟูดส์ จำกัด : 66 หมู่ที่่ 4 ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ 33150 : 06 4479 4157 : https://www.facebook.com/เอิบอิ่ม-Erb-Im1582133778743596/ , https://www.erb-im.com/ ที่มา : รายงานประจำปี 2563 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
05 พ.ค. 2564
เอนกฟาร์ม ชูจุุดแข็งครบเครื่องเรื่องนกกระทา ตั้งเป้ารุกตลาดส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน
เอนกฟาร์มนกกระทา เติบโตจากธุรกิจเล็ก ๆ จนกลายเป็นเจ้าของอาณาจักรฟาร์มนกกระทาขนาดใหญ่ ที่่สุดในอาเซียน ปัจจุุบันบริหารงานโดยคุณพยุงศักดิ์์ สีเขียวสด ทายาทรุ่นที่่ 2 ที่่มีความมุ่งมั่นนำพาธุรกิจให้เติบโต อย่างต่อเนื่อง จากการวางรากฐานของรุ่นคุณพ่อเอนก สีเขียวสด ที่่เริ่มต้นเลี้ยงนกกระทา จำนวน 3,000 ตัว ให้ไข่ประมาณ วันละ 2,000 ฟอง ขยายกิจการด้วยการหาเครือข่ายผู้เลี้ยง นกกระทากับเอนกฟาร์ม โดยใช้วิธีแบ่งรายได้ให้กับคู่ค้า เพื่อให้มีผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุุบันมีเครือข่่ายกว่า 100 ครอบครัวให้ผลผลิตไข่กว่า 20 ล้านฟองต่อเดือน และ มีเงินหมุนเวียนในกลุ่มสูงกว่า 200 ล้านบาทต่อปี มีผลิตภัณฑ์จากนกกระทาจำหน่ายอย่างครบวงจรตั้งแต่ ไข่เชื้อตัวนกกระทา ไข่สด ไข่ต้ม เนื้อแปรรูป เปลือกไข่นก มูลนกและอาหารนก ด้วยกระบวนการผลิตที่่ได้มาตรฐาน มีโรงเรือนทั้งระบบเปิดและระบบปิด รองรับการผลิตที่่ผู้บริโภควางใจ แบ่งสัดส่วนการจำหน่ายในประเทศร้อยละ 70 มีไข่แปรรูปเป็นหลัก รองลงมาคือไข่สด และอีกร้อยละ 30 ส่งออกต่างประเทศในตะวันออกกลาง ยุุโรป อเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากไข่สด เป็นไข่ต้มสุกบรรจุุกระป๋องที่่เก็บได้นานถึง 2 ปีรองรับตลาดส่งออก โดยเฉพาะคุณพยุงศักดิ์์ กล่าวถึงการเข้ามารับช่วงธุรกิจของครอบครัวว่าต้องรักษาคุณภาพและเน้นการพัฒนา เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการได้มาเข้าร่วมโครงการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (เกษตรแปรรูป) กับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นับเป็นโอกาส ที่่ดีที่่มีผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาแนะนำการลงทุนและต่อยอดธุรกิจ สร้างการเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้สามารถดำเนินธุรกิจไปได้ในระยะยาวได้เรียนรู้ Business Model ที่่ทำให้มองธุรกิจได้ไกลและกว้างขึ้น นอกจากนี้ ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมยังเข้ามาช่วยปรับระบบ การจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ มีการใช้ทรัพยากร อาทิแรงงานคนอย่างคุ้มค่าโดยสามารถลดต้นทุนที่่เกิดจาก แรงงานและเวลาได้ร้อยละ 93.33 หรือคิดเป็นมูลค่า 63,876 บาทต่อปี “ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดููกระบวนการผลิตในโรงงานพบว่า บางแผนกมีจำนวนคนมากเกินไป เช่น ในส่วนของการคัดคุณภาพ เดิมมีประมาณ 10 คน ก็ปรับเหลือ 3 - 4 คน และไปเพิ่มคนในส่วนของการตรวจสอบแทน ซึ่งพอทดลอง ทำก็พบว่าผลที่่ได้รับดีกว่าแบบเดิม สามารถผลิตสินค้า ได้เร็วขึ้น ซึ่งจุดนี้้เหมือนเป็นจุดเล็ก ๆ ที่่เรายังนึกไม่ถึง พอมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยก็พอใจมาก” สำหรับแผนงานในอนาคต คุณพยุงศักดิ์ เผยว่า กำลังขยายโรงงานเพิ่มเพื่อรองรับการผลิตที่่มากขึ้นในด้าน การจำหน่ายในประเทศ ตั้งเป้าหมายว่าจะให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าทางภาคเหนือ และภาคอีสาน เพราะปัจจุุบันตลาดหลักกว่าร้อยละ 80 อยู่ในโซนภาคใต้เป็นหลัก ส่วนการส่งออกจะมุ่งทำ การตลาด ในประเทศเพื่อนบ้าน คาดว่าตลาดมีความต้องการสูง คุณพยุงศักดิ์์ สีเขียวสด บริษัท เอนกฟาร์ม นกกระทา จำกัด : 57/1 หมู่ที่ 2 ตำบลป่างิ้ว อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง 14000 : 09 2279 4605 : https://www.facebook.com/anekfarmquail/ , https://www.anekfarm.com/ ที่มา : รายงานประจำปี 2563 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
05 พ.ค. 2564
เมล็ดกาแฟเคลือบช็อกโกแลต ส่งต่อความอร่อยจากเครื่องดื่มเป็นขนมขบเคี้ยว รสชาติทูโทน อร่อยลงตัว
กาแฟนับเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีจังหวัดเชียงใหม่เป็นแหล่งปลูกสำคัญที่โดดเด่นด้านซัพพลายเชนครบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ ต้นน้ำคือการคัดสายพันธุ์กาแฟ แปลงปลูก กลางน้ำ คือ การแปรรูป มีโรงคั่ว โรงงานผลิตที่่มีมาตรฐาน ขณะที่ปลายน้ำ คือการพัฒนาในด้านการตลาด บริษัท ไฮแลนด์ คอฟฟี่ จำกัด หนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายกาแฟที่่มีชื่อเสียงของจังหวัดก็ทำตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ดำเนินงาน โดยคุณนพพร ประทุมรัตน์และคุณวิเศษศักดิ์์ ประทุมรัตน์ ปลูกกาแฟและโกโก้ในพื้นที่สูงกว่า 1,000 เมตรจากระดับ น้ำทะเล ในพื้นที่่ดังกล่าวยังประกอบด้วยโรงตาก โรงคั่ว แบบครบวงจร ปัจจุบันบริษัทเป็นแหล่งคั่วกาแฟที่่สำคัญ โดยการรับซื้อจากเกษตรกรและส่งจำหน่ายให้กับบริษัทชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ ด้วยเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในการแปรรูปกาแฟในรูปแบบอื่นที่่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่่เครื่องดื่ม ประกอบกับ มีวัตถุดิบคือโกโก้อยู่แล้ว ผู้ประกอบการจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ เมล็ดกาแฟเคลือบช็อกโกแลต ภายใต้แบรนด์ Highland Koffee เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่่ต้องการ รับประทานกาแฟในรูปแบบอาหารว่างแต่มีปัญหาในขั้นตอน การผลิตเรื่องการเก็บที่อุณหภูมิห้อง จึงเข้าอบรมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในกิจกรรมวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่า ผลิตภัณฑ์และการส่งเสริมนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กาแฟอะราบิก้า ภายใต้โครงการการยกระดับศูนย์กลางการพัฒนาอัตลักษณ์กาแฟอะราบิก้าภาคเหนือ ผู้ประกอบการนำแนวคิดดังกล่าวไปปรึกษากับ นักวิจัยและร่วมกันพัฒนากระบวนการผลิตด้วยการคั่วที่่เป็น สูตรลับเฉพาะของบริษัท นำเทคนิคเทมเปอร์ริงช็อกโกแลต (Tempering Chocolate) ที่่สร้างความเงา ปรับเนื้อสัมผัส ให้มีความกรอบ และมีความคงทนต่ออุณหภูมิ จนได้เมล็ดกาแฟ ที่่กรอบ หอม รสกลมกล่อม เคลือบด้วยดาร์กช็อกโกแลตและไวท์ช็อกโกแลตอย่างดี สามารถเก็บรักษาได้ที่่อุณหภูมิปกติ ทำให้จัดเก็บและวางจำหน่ายได้ง่ายขึ้น เพิ่มมูลค่าทางการตลาด และเพิ่มความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์กลุ่มกาแฟ นอกจากนี้้ยังได้ออกแบบฉลากบรรจุุภัณฑ์ในรููปแบบ ลวดลายร่วมสมัย ที่สื่อสารได้ตรงและเข้าใจง่าย คาดว่าจะมียอดขายต่อปี ประมาณ 120,000 บาท คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 92 หลังจากทดลองตลาดด้วยการนำไปจำหน่ายตาม บูธแสดงสินค้า พบว่าได้รับการตอบรับที่่ดีมาก Highland Koffee จึงคิดสานต่อแปรรูปกาแฟและโกโก้ในรูปแบบอื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้เมล็ดกาแฟไม่ได้อยู่ในรูปแบบเครื่องดื่มระหว่างวันเท่านั้น คุณวิเศษศักดิ์์ ประทุมรัตน์ บริษัท ไฮแลนด์ คอฟฟี่ จำกัด : 97 หมู่ที่่ 3 ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ 50150 : 08 8253 5133 : https://www.facebook.com/HighlandKoffee-122856017741394/ ที่มา : รายงานประจำปี 2563 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
05 พ.ค. 2564
เทพประทานพร บานาน่า กล้วยม้วนอบธรรมชาติ จากไร่เกษตรพอเพียง
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เทพประทานพร บานาน่า ผู้ผลิต และจำหน่ายกล้วยแปรรูปชื่อดังของจังหวัดพิษณุโลก บริหารงาน โดย คุณศรีสุรีย์ สายสวาสดิ์์ ผู้มีประสบการณ์จากการเป็น เกษตรกรจากไร่เทพประทานพร ซึ่งเป็นไร่ที่่ดำเนินการ แบบวิถีเกษตรพอเพียง ปลอดสารพิษ มีผลิตภัณฑ์ เช่น กล้วยตาก กล้วยม้วน กล้วยหยี คุกกี้้กล้วยตาก จำหน่ายทาง ร้านขายของฝาก บูธแสดงสินค้า และช่องทางออนไลน์ ด้วยแนวคิด “เราผลิตกล้วยด้วยใจ” ทำให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดดเด่นเรื่องคุณภาพ อาทิกล้วยม้วนอบธรรมชาติ ผลิตจากกล้วยน้ำว้าที่่นำมาผ่านกระบวนการแปรรูปู โดยไม่มีการปรุงแต่งรสใด ๆ รสชาติจึงกลมกล่อมมีเอกลักษณ์ ความเป็นธรรมชาติแท้ ๆ เนื่องจาก กล้วยม้วนอบธรรมชาติเป็นผลิตภัณฑ์ ที่่ได้รับความนิยมอย่างมากในการซื้อเป็นของกิน ของฝาก จนไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อปริมาณการสั่งซื้อ ทำให้เสียโอกาสในการสร้างยอดขายไปไม่น้อยแต่หลังจากเข้าร่วม โครงการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ปีงบประมาณ 2563 กับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามาช่วยจัดทำโปรแกรม Microsoft Excel วางแผนการผลิตบนพื้นฐานการพิจารณาต้นทุน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณการสั่งซื้อ อีกทั้งสามารถคำนวณต้นทุนและกำไร ในการผลิตแต่ละครั้งได้ และปรับปรุงเครื่องจักรในส่วนของเครื่องปั๊มกล้วยม้วนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเดิมกำลัง การผลิตในขั้นตอนการปั๊มจะได้ประมาณ 807 กล่องต่อวัน แต่หลังจากปรับปรุงแล้วสามารถผลิตได้ 2,472 กล่องต่อวัน นั่นคือ กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นวันละ 1,665 กล่อง ส่งผลให้ โอกาสในการสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 58,275 บาทต่อวัน “เดิมทีกำลังการผลิตของเราได้แค่ระดับหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมก็มาดูข้อมูล การผลิตกำลังการผลิต ค่าเฉลี่ยการผลิตของพนักงาน และเวลาในการผลิต พบว่าในขั้นตอนการปั๊มกล้วยม้วนใช้เวลามาก เพราะใช้แรงคนยกแผ่นปั๊มเข้า - ออก ผู้เชี่ยวชาญก็มาพัฒนา เครื่องจักรโดยทำให้เป็นระบบอัตโนมัติ ทำให้ลดกำลังคน ลดเวลา เพิ่มจำนวนการผลิตได้มากขึ้น” เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่่ทำให้ธุรกิจ SMEs สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน คุณศรีสุรีย์ สายสวาสดิ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เทพประทานพร บานาน่า : 274 หมู่ที่ 10 ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก 65000 : 08 8196 3654 : https://www.facebook.com/theppratanpornbanana/ ที่มา : รายงานประจำปี 2563 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
05 พ.ค. 2564
Madame Mango ต่อยอดแนวคิด Local Love ตั้งเป้าเป็นแพลตฟอร์มให้ความรู้แก่เกษตรกร
มีคำกล่าวว่า “โอกาสเป็นของคนที่่มองเห็นเสมอ” คุณราเมศ รัตยันตรกร ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Madame Mango นับเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่่ทำให้คำกล่าวนี้ชัดเจนขึ้น ด้วยมองเห็นช่องทางการทำธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตร จากสวนมะม่วงกว่า 40 ไร่ ที่่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่่ดีที่สุดของประเทศ ในแนวคิด เกษตร 4.0 คือ การนำ เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ ยกระดับการผลิตทั้งกระบวนการ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ผลไม้ แปรรูปที่มีคุณภาพ นำมาสู่การสร้างรายได้ถึง 8 หลัก Madame Mango จัดจำหน่ายทั้งสินค้าไม่ได้แปรรูป คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สดที่่ผ่านการคัดสรรอย่างดีและสินค้า แปรรูปโดยมีมะม่วงอบแห้ง (Soft Dried Mango) เป็นผลิตภัณฑ์หลัก จุดเด่นคือเป็นมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้เกรด ส่งออก ใช้เนื้อมะม่วงนำมาอบแห้งด้วยเทคนิค Dehydrated เพื่อคงคุณค่าและประโยชน์ไว้ครบถ้วนใกล้เคียงผลไม้สด ปราศจากน้ำตาลเหมาะกับคนรักสุขภาพ ต่อยอดด้วยการนำวัตถุดิบที่่เหลือจากการทำมะม่วงอบแห้งมาเพิ่มมูลค่า เป็นผลิตภัณฑ์เจลลี่ กัมมี่รสชาติเปรี้ยวอมหวาน กลมกล่อม ถึงแม้ไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ก็สามารถครองตลาดในสื่อออนไลน์โกยกำไรไปไม่น้อย ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย ให้ได้ร้อยละ 20 หรือมูลค่า 2 ล้านบาท นอกจากแปรรูปผลไม้แล้ว Madame Mango ยังมีผลิตภัณฑ์ ข้าวป๊อป ทำจากพันธุ์ข้าวหอมมะลิและ มะม่วงน้ำดอกไม้ สินค้าเกษตรที่่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ในไร่อำเภอพร้าวเป็นขนมสำหรับคนรักสุขภาพ ผ่านกระบวนการ อบแห้งอย่างดีไม่มีกลูเตนและคอเรสเตอรอล มีให้เลือกถึง 4 รสชาติรสมิกซ์เบอร์รี่รสต้มย รสคาราเมล และรสซาวครีม คาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายได้ร้อยละ 20 หรือคิดเป็น มูลค่า 1 ล้านบาท สำหรับช่องทางจำหน่ายมีทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่ประเทศจีนและอินเดีย และในอนาคตมีโอกาสเปิดตลาดกับประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งแนวคิดการพัฒนาธุรกิจเหล่านี้้เกิดจากการนำองค์ความรู้ และประสบการณ์ที่่ได้รับจากกิจกรรมการพัฒนาแนวคิด ปั้นนักธุรกิจอุตสาหกรรม (Agro beyond Academy) ของ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมนั่นเอง “ส่วนหนึ่งที่่ทำให้ Madame Mango เติบโตมาถึง จุดนี้้ได้ เพราะการเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ กับกรมส่งเสริม อุตสาหกรรมมาตั้งแต่ต้น ทางกรมให้ทั้งแนวคิดการทำธุรกิจ กระบวนการผลิต การสร้างเครือข่าย การจับคู่ธุรกิจ หรือ Business Matching ที่่สำคัญมีโอกาสได้ทำการตลาด ออกบูธจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ จนทำให้ลูกค้า รู้จักแบรนด์ Madame Mango มากขึ้น” คุณราเมศ เผยถึงเป้าหมายในอนาคตด้วยการ ชููกลยุทธ์ ร.อ.ด. ซึ่ง ร คือ การรักษาคุณภาพสินค้า รักษา ธุรกิจให้ยังอยู่ได้ส่วน อ คือ การตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ และ ด คือ ดำเนินการได้ทันทีโดยวางแผน สร้างศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัตกรรม เพื่อให้เป็นแหล่งฝึกอบรม ให้ความรู้ คำปรึกษาและคำแนะนำ แก่เกษตรกรเกี่ยวกับ การแปรรูปสินค้าเกษตรแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ และตั้งใจพัฒนาการรับจ้างผลิตสินค้าหรือ OEM (Original Equipment Manufacturer) โดยใช้วัตถุดิบจาก อำเภอพร้าวผลิตสินค้าให้ผู้ที่่สนใจอยากทำแบรนด์ของตัวเอง คุณราเมศ รัตยันตรกร บริษัท มาดามแมงโก้ จำกัด : 344 หมู่ที่่ 6 ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ 50190 : 06 3197 8799, 09 3261 8999, 09 8838 7556 : https://www.facebook.com/madamemangofarm/ ที่มา : รายงานประจำปี 2563 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
05 พ.ค. 2564
นวัตกรรมรถตัดอ้อยแบบลำ สิ่งประดิษฐ์จากฝี มือคนไทย โดยภาวนายนต์ ด่านช้าง
ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาวนายนต์ ด่านช้างบริหารงานโดย คุณอานนท์ ภาวนา ผู้ผลิตและจำหน่ายรถตัดอ้อย มุ่งหวัง ประดิษฐ์รถตัดอ้อยที่่มีประสิทธิภาพ ในต้นทุนที่่ไม่สูงมาก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ลดการเผาอ้อย สาเหตุุปัญหา ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 แต่ด้วยต้องการพัฒนาและต่อยอด การประดิษฐ์ จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการการเพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องจักรและอุปกรณ์ทางการเกษตรในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน อุตสาหกรรมสมัยใหม่ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้รับเงินทุน และแนวทางการพัฒนารถตัดอ้อยแบบลำ ที่่มีจุดเด่นคือ สามารถต่อพ่วงกับรถไถได้ทุกชนิด ติดตั้งง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้ในการตัดอ้อยแบบอ้อยท่อน มีระบบสางใบ ที่่ใช้ลวดสลิง ทำหน้าที่่สางใบอ้อยทั้งลำพร้อมส่งใบทิ้งออกไปด้านข้าง ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าไฮดรอลิก พร้อมทั้งมีตัวตัดยอดอ้อย และสะพานลำเลียงอ้อยขึ้นสู่รถตะกร้าหรือรถบรรทุกทันที สามารถตัดได้ 80-150 ตันในเวลา 8 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับพื้นที่ปลูก และลักษณะต้นอ้อย ประหยัดเวลา มีความแข็งแรงทนทาน ที่่สำคัญช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนด้านแรงงานได้ 40 คน ต่อ 1 เครื่อง และเพิ่มราคาขายอ้อยต่อโรงงานเพื่อผลิตเป็นน้ำตาลได้สูงขึ้น ปัจจุบันมีจำหน่าย 2 เวอร์ชั่น คือรุ่นคอนเดม เวอร์ชั่น 2 สำหรับต่อพ่วงรถไถด้านหน้า ตัดยอดอ้อย ได้ร้อยละ 95 ราคา 890,000 บาท และรุ่นคอนเดมเวอร์ชั่น 3 สำหรับต่อพ่วงรถไถด้านหลัง ตัดยอดอ้อยได้ร้อยละ 95 แต่มีความคล่องตัวกว่าแบบแรก ราคา 950,000 บาท “รถตัดอ้อยแบบลำ นี้้ผมใช้เวลาคิดค้นมานานกว่า 6 ปี กว่าจะประสบความสำเร็จ ดีใจมากที่่ได้รับความสนใจ จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย เพราะช่วยให้การเก็บเกี่่ยวอ้อยสดกลายเป็นเรื่องง่าย ลดการเผาใบ เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตต้องขอขอบคุณทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่่ช่วยเหลือ ด้านเงินทุนและร่วมกันพัฒนาจนสำเร็จไปได้ด้วยดี สำหรับในอนาคตคาดว่าจะมีเงินลงทุนเพื่อให้สามารถ มีกำลังการผลิตต่อปีได้มากขึ้น เพราะปีนี้สามารถผลิตได้เพียง 6 เครื่อง แต่่ความต้องการของเกษตรกรที่่ติดต่อมามีมากขึ้น หากมีเงินทุนเพิ่มจะสามารถผลิตได้มากกว่านี้้” ภาวนายนต์ ด่านช้าง ยังคงเร่งการผลิิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อความต้องการของตลาดจากทั่วสารทิศ และพร้อมจะสร้างสรรค์ผลงานให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย ต่อไป นับเป็นความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการไทย ที่่สามารถสร้างนวัตกรรมมาช่วยเกษตรกรทำงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม คุณอานนท์ ภาวนา ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาวนายนต์ ด่านช้าง : 41 หมู่่ที่่ 6 ตำบลแจงงาม อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุุรี 72240 : 08 9915 6586 : https://www.facebook.com/people/รถตัดอ้อยภาวนายนต์-ด่านช้าง/100057265516981 ที่มา : รายงานประจำปี 2563 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
05 พ.ค. 2564