แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย : ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย
ตอนที่ 3 (ตอนจบ) : นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางพารา...ใครได้ใครเสีย
แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราของไทยทั้งระบบที่รัฐบาลวางแผนดำเนินการไว้
มี 4 แนวทางคือ
1.เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น
โดยนำยางมาใช้สร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นต้น
พร้อมทั้งเร่งการโค่นต้นยางเก่าเพื่อลดอุปทานภายในประเทศ ทำให้ลดผลผลิตยาวในอนาคต
2.ผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
ให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น
และการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง
อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น (แนวทางนี้เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ
รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแล้ว 2 โครงการ คือโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต
วงเงินกู้ 15,000 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง
วงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท
หมายความว่ารัฐบาลยอมจ่ายเงิน 750 ล้านบาท แทนผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้เงินให้ธนาคารเจ้าหนี้
ในสองโครงการนี้)
3.สร้างตลาดการซื้อขายยางธรรมชาติ โดยเชื่อมโยงให้มีการทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบสินค้าจริงระหว่างเกษตรกรชาวสวนยางกับผู้ซื้อ
4.ร่วมมือกับต่างประเทศ
เพื่อกำหนดแนวทางจัดการเก็บสต็อกยางร่วมกันนั้น
ในแนวทางการ.เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น
โดยนำยางมาใช้สร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นต้น
พร้อมทั้งเร่งการโค่นต้นยางเก่าเพื่อลดอุปทานภายในประเทศ เพื่อให้ลดผลผลิตยางในอนาคต
เป็นแนวคิดที่ถูกต้องเหมาะสมและมีมานานแล้ว แนวทางนี้จะไม่ถูกนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาดหากเป็นห่วงเวลาในยุครัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นเพียงหมึกที่เปื้อนติดกระดาษแค่นั้น
เพราะมีข้อขัดข้องบางอย่างที่ไม่แสดงออกมาให้เห็นอีกจำนวนมากเปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็งที่ลอยน้ำมีส่วนของน้ำแข็งที่จมน้ำอยู่ก้อนใหญ่มากกว่าส่วนที่มองเห็น สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดในยุครัฐบาลที่มาจาก
คสช. คือการสร้างอุปสงค์ยางพาราให้เกิดขึ้นด้วยการใช้การตลาดเป็นตัวขับเคลื่อน วิธีขับเคลื่อนที่ผู้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือคือการออกเป็นนโยบายหรือข้อสั่งการให้หน่วยงานภาคราชการเป็นการเฉพาะ
ใช้วัสดุอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มียางพาราเป็นวัสดุหรือส่วนประกอบเป็นลำดับแรก
เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบราชการ ต้องนำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ.2535 มาปรับปรุง/แก้ไขใหม่
ให้สนอบตอบต่อนโยบายในการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้นด้วย วิธีคิดแบบนี้จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของยางพาราโดยตรง
ความคิดในการนำยางมาใช้ประโยชน์เป็นวัสดุแทนวัสดุอื่นสร้างถนน
ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย
หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ นั้นมีมานานแล้ว มีหลายๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ศึกษา
วิจัยคิดค้นไว้แล้วระดับหนึ่ง แต่ยังไม่นำมาประยุกต์ใช้และต่อยอดให้เกิดเป็นรูปธรรมออกสู่สาธารณะแม้แต่เรื่องเดียว
ลองมาช่วยกันวิเคราะห์ดูถึงเหตุต่างๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องเหล่านี้ดูว่าเป็นเช่นไร
เริ่มจากถ้าได้นำผลงานจากการศึกษา วิจัย คิดค้น การใช้ยางพาราเพื่อทดแทนวัสดุอื่นที่หน่วยงานต่างๆ
ทำไว้มาทดลองทำเพื่อใช้งานจริงและรัฐบาลมีนโยบาย/ข้อสั่งการลงมาโดยอาจจะนำร่องทำในที่ใดๆ
ก็ได้เช่น องค์การสวนยาง และหรือที่อื่นๆ เพื่อสร้าง/ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง ถนน
ลานกีฬา ฯลฯ
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ที่ปรับปรุง/แก้ไขให้เอื้อต่อนโยบายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศแล้ว จะเท่ากับเป็นการดึงปริมาณยางพาราเข้าสู่ระบบการผลิตและผลิตภัณฑ์ในเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างมากและทันที
และต่อมาขยายผลการดำเนินงานรุกเข้าไปในพื้นที่ชุมชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของ อบต.
อบจ. ตามลำดับ ผู้มีส่วนได้โดยตรงคือเกษตรกรชาวสวนยางจะจำหน่ายผลผลิตได้ราคาที่สูงขึ้นคุ้มค่าเหมาะสมเพราะปริมาณการใช้ยางเป็นที่ต้องการมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรม
ส่งผลทางอ้อมให้ชีวิตความเป็นอยู่และสังคมดีขึ้น ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการอาจมีสองกลุ่มคือทั้งส่วนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์
ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จะมีแนวคิดในการใช้ยางพาราทำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทดแทนวัสดุอื่น
ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ในระยะแรกต้องมีต้นทุนการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์
นวัตกรรม และลงทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้งานได้เหมาะสมดียิ่งขึ้น
(สร้างความก้าวหน้าภาคการแปรรูปในอุตสาหกรรมยางให้สูงขึ้น)
ในกลุ่มที่เสียประโยชน์อาจจะเป็นกลุ่มทุนที่ไม่ต้องการให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
ที่สร้างผลิตภัณฑ์ใดๆ เข้ามาทดแทน ผลิภัณฑ์ที่ใช้วัสดุเดิมที่มีใช้อยู่แล้ว หากใช้ยางพาราเป็นวัสดุส่วนผสมในการสร้างถนนทดแทนวัสดุอื่นได้
คำถามที่ว่าวัสดุชนิดที่ใช้อยู่เดิมจะไปอยู่ที่ไหนในอุตสาหกรรม
นี่เป็นเพียงหนึ่งเรื่องที่ชวนให้พิจารณา ผลประโยชน์ที่เคยได้รับกลับต้องเสียไปอย่างมหาศาลจะยอมรับได้หรือไม่
หากสถานการณ์เดินไปแบบนี้กลุ่มผู้เสียประโยชน์คงไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอนจะต้องมีกระบวนการอะไรบางอย่างออกมาเพื่อสกัดไม่ให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะใช้ยางพาราเป็นวัสดุประกอบแทนวัสดุอื่นสร้างถนนออกมาได้อย่างง่ายๆ
เห็นอะไรที่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่บ้างหรือไม่ ด้วยการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี
วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่ต้องใช้เม็ดเงินอย่างมาก จึงอาจมีบางสิ่งหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งที่ส่งสัญญาณออกมาว่ามีความไม่คุ้มค่าในการลงทุน
หรือศึกษาดูแล้วมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าการทำถนนแบบปัจจุบันมากเพื่อหวังผลเก็บโครงงานนี้ไว้ก่อน
หากแนวคิดนี้เป็นจริงก็น่าเสียดายโอกาสในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก เมื่อพิจารณาว่าถ้านำเม็ดเงินที่จ่ายชดเชยแทนดอกเบี้ยเงินกู้ในสองโครงการนั้น
จำนวน 750 ล้านบาท นำไปสร้างสิ่งปลูกสร้างหรือที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบทดแทนวัสดุอื่น
หรือให้หน่วยงาน/องค์กรต่างๆ นำไปวิจัย/ค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างถนนด้วยยางพาราทดแทนวัสดุอื่น
ผลการดำเนินงานถึงแม้จะเป็นการนำร่องและไม่ประสบผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์ แต่ความคุ้มค่าได้มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบเม็ดเงินจำนวนเดียวกันที่ภาครัฐต้องจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เพราะนำไปสร้าง/ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบทดแทนวัสดุอื่น
ส่งผลโดยตรงถึงตัวเกษตรการชาวสวนยางพาราสามารถวัดค่าได้
การผลักดัดให้เกิดอุปสงค์ทำให้เกิดตลาดขนาดใหญ่นั้นรัฐบาลทำได้ด้วยการออกนโยบาย
หรือข้อสั่งการ เช่น ให้ส่วนราชการท้องถิ่นสร้างหรือซ่อมถนนที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบ
หรือพื้นลานกีฬา อุปกรณ์การกีฬา วัสดุและผนังกันกระแทรก ฯลฯ ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือเม็ดเงินจำนวน 750
ล้านบาท (เงินที่จะต้องนำไปชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ) จะถูกนำไปซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง
(เกษตรกรชาวสวนยางได้รับประโยชน์โดยตรงเต็มเม็ดเต็มหน่วย) เพื่อนำไปแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาคการผลิตที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบจะหันมาสนใจลงทุนใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการสร้างถนนด้วยยางพารามากขึ้นเพราะมีตลาดขนาดใหญ่รองรับแน่นอน
จะส่งผลให้เกิดสองเรื่องคือ
การปรับโครงสร้างปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้สูงขึ้น
และส่งเสริมการพัฒนาวิทยาสาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ที่มีส่วนประกอบของยางพาราทดแทนวัสดุอื่น ภาคอุตสาหกรรมก็จะยกระดับการพัฒนาให้สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งอย่างต่อเนื่องและนโยบายอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการกีดกันทางการค้าเพราะเป็นการสร้างสาธารณูปโภคของประเทศ
มองในระยะยาวแล้วคุ้มค่ามาก เพียงแต่รัฐบาลในยุค คสช. มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะออกมาตรการเพื่อให้
อบจ. และ อบต. นำไปปฏิบัติด้วยการให้สร้าง/ซ่อมสิ่งปลูกสร้าง ถนนและสาธารณูปโภคพื้นฐาน
ในพื้นที่ที่ตนเองดูแลให้ใช้ยางพาราเป็นวัสดุประกอบ ผลที่เห็นชัดเจนคือยางพารามีช่องทางระบายออกสู่ตลาดที่ใหญ่มากๆ
ลองเปรียบเทียบดูความคุ้มค่าผลที่คาดว่าจะได้รับกับเม็ดเงินที่ใส่ลงไปคงเห็นแนวทางที่ควรแล้วครับ
แหล่งที่มาข้อมูล
เรียบเรียง : สิทธิชนคน กสอ.
02
ก.พ.
2558