หมวดหมู่
จับตามองการประชุม คณะกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงาน โครงการขอสินเชื่อผลิตภัณฑ์ยาง
โครงการขอสินเชื่อยางเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งในมาตการที่ 2 เพื่อผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้นและการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น (แนวทางนี้เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแล้ว 2 โครงการ คือโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต วงเงินกู้ 15,000 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยางวงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท หมายความว่ารัฐบาลยอมจ่ายเงิน 750 ล้านบาท แทนผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้เงินให้ธนาคารเจ้าหนี้ ในสองโครงการนี้) ในการประชุมครั้ังนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยการประชุมคณะกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานโครงการขอสินเชื่อผลิตภัณฑ์ยาง และผู้ประกอบกิจการโรงงานที่แสดงเจตจำนงในการขอสินเชื่อ เพื่อชี้แจงรายละเอียดและแนวปฏิบัติ ในวันพุธที่ 28 มกราคม 2558 เวลา 8.30 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมชุณหะวัน ชั้น 3 อาคาร สปอ. สรุปสาระสำคัญของการประชุมได้ดังนี้ ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งที่ประชุมเพื่อทราบ เป็นการประชุมครั้งที่แล้วพิจารณาเห็นชอบหลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณาการขอสินเชื่อในการตรวจสอบรับรองความเหมาะสม และแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบติดตามและเร่งรัดเพื่อนำผลมาวิเคราะห์ความเหมาะสมในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรและให้ สศอ. ติดตามผลจากธนาคารออมสินและประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้คณะทำงานฯ รายงานความก้าวหน้าทุกเดือน ระเบียบวาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุม ระเบียบวาระที่ 3 ไม่มีเรื่องสืบเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องพิจารณา ในส่วนแรกเป็นเรื่องที่ประชุมพิจารณาแนวทางปฏิบัติ และหลักเกณฑ์อนุมัติการปล่อยสินเชื่อ โดยธนาคารออมสินพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบการเบื้องต้นและแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการได้ 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของธนาคารพร้อมจะดำเนินการต่อไปได้ กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีหลักประกันสินเชื่อและเอกสารประกอบโครงการไม่ชัดเจน กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ไม่มีหลักทรัพย์ประกันสินทรัพย์ ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีปัญหาที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาในกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 ด้วยสาเหตุดังนี้ - หลักทรัพย์ที่ใช้ในการค้ำประกันสินเชื่อเป็นหลักทรัพย์ที่ได้จดจำนองเพื่อค้ำประกันสินเชื่ออื่นกับธนาคารพาณิชย์อยู่ก่อนแล้ว - ผู้ประกอบการไม่มีแผนธุรกิจแผนการตลาดและแผนการบริหารงานที่ชัดเจน - ผู้ประกอบการไม่ได้ประมาณการเรื่องเงินทุนหมุนเวียน และหลักทรัพย์ที่จะค้ำประกันเพิ่มเติม - สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของธนาคารออมสิน - ผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอรับการสนับสนุนสินเชื่อโดยรวมทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การซื้อ ที่ดิน การสร้างอาคารรวมทั้งเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่สนับสนุนสินเชื่อเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเท่านั้น จะทำให้วงเงินที่ได้รับการสนับสนุนปรับลดลงน้อยกว่าที่ยื่นไว้ ความไม่มั่นใจของธนาคารออมสินในการปล่อยสินเชื่อโดยพิจารณาถึงหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อที่ยังถือหลักเกณฑ์ปกติเช่นเดิมยังไม่ผ่อนปรนให้สำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการนี้เนื่องจากยังไม่ชัดเจนในเรื่อง “ขยายกำลังการผลิต” ครอบคลุมเฉพาะเครื่องจักรเท่านั้นหรือไม่หรือรวมถึงการสร้างใหม่/ขยายโรงงานซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมติ ครม. ไม่มีรายละเอียดระบุไว้ชัดเจน ณ ปัจจุบันผู้ประกอบการยื่นกู้เข้ามาแล้วทั้งหมด 22 ราย ส่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมพิจารณาความเหมาะสมของกำลังการผลิตกับเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นและเทคโนโลยีรวมถึงปัญหาด้านมลภาวะแล้ว 3 ราย และผ่านหลักเกณฑ์เบื้องต้นแล้ว 2 ราย อีก 1 รายอยู่ระหว่างการพิจารณา วงเงิน 570 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 และ 3 อีก 19 ราย เนื่องจากธนาคารออมสินพบปัญหาที่ไม่ผ่านการพิจารณาข้างต้น ผู้แทนสมาคมถุงมือยาง ได้ให้ข้อมูลว่าเรื่องวัตถุประสงค์ของโครงการได้เป็นมติไปก่อนหน้านี้แล้วโดยตัวโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อ “ขยายปริมาณการใช้ยาง” หากสงสัยให้ทำเรื่องสอบถามไปที่ กนย. หรือ คสช. และยังเสนอให้ธนาคารออมสินทำความเข้าใจและคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อผ่อนคลายหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อด้วยว่าหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันสินเชื่อจะใช้หลักทรัพย์ที่เกิดใหม่จากการเข้าร่วมโครงการเป็นตัวค้ำประกันและให้ธนาคารออมสินคลายความกังวลใจเนื่องจากสถานการณ์การตลาดถุงมือไทยซึ่งปัจจุบันผลิตไม่พอจำหน่าย โดยไทยต้องซื้อถุงมือยางจากมาเลเซียที่ซื้อยางของไทยไปผลิตถุงมือกลับมาเพื่อขายส่งออก และในเวียดนาม มีโรงงานผลิตถุงมือยาง 14 เครื่อง และ 7 เครื่องที่ผลิตได้นั้น เข้ามาทำสัญญาให้ไทยเป็นตลาดส่งออกให้ ผู้แทนสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ได้ให้ข้อมูลสถานการณ์ถุงมือยางว่าทั่วโลกผลิตได้ 1 แสนล้านชิ้น ไทยผลิต 2.7 หมื่นล้านชิ้น มาเลเซีย ผลิต 7 หมื่นล้านชิ้น ตลาดโลกโตขึ้นเฉลี่ย 10 % ต่อปี แต่อัตราการเติบโตไปอยู่ที่ มาเลเซีย จึงต้องทำโครงการเพื่อขยายกำลังการผลิตและการใช้ยางของประเทศให้ มากขึ้น และได้ขอรายชื่อเจ้าหน้าที่ของธนาคารออมสินที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ เพื่อให้สมาชิกสมาคมได้ติดต่อประสานงานโดยตรงด้วย มติที่ประชุมให้ธนาคารออมสินประสานงานกับสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาสรุปประเด็นปัญหาที่ยังปล่อยสินเชื่อไม่ได้ให้ที่ประชุมพิจารณาแก้ไขต่อไป เรื่องพิจารณาในส่วนที่สอง การดำเนินการจัดทำ Public Service Account (PSA) เพื่อขอรับการชดเชยความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้แก่ธนาคารออมสินเมื่อธนาคารได้พิจารณาสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการตามกฎ ระเบียบ นโยบาย คำสั่ง ข้อบังคับของธนาคาร อย่างรอบคอบแล้ว ประธานที่ประชุมได้มีบัญชาให้ สศอ. จัดประชุมวงเล็กภายในอาทิตย์หน้า โดยเชิญ นายอำนวย ปะติเส (รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) เป็นประธาน และให้เชิญผู้เกี่ยวข้องได้แก่ ธนาคารออมสิน กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางและผู้เกี่ยวข้อง กรมโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ เพื่อหาข้อสรุป และนำเสนอ ครม. โดยเร็ว และนัดประชุมคณะกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานโครงการขอสินเชื่อผลิตภัณฑ์ยางครั้งต่อไปในกลางเดือน กุมภาพันธ์ 2558 หลังจากได้ข้อสรุปการประชุมวงเล็กแล้ว ข้อเสนอแนะ จากเรื่องพิจารณาแนวปฏิบัติในส่วนแรก ประเด็นปัญหาที่ธนาคารออมสินพบในเรื่องไม่มีแผนธุรกิจแผนการตลาดและแผนการบริหารงานที่ชัดเจนที่ผู้ประกอบการ 19 ราย ต้องจัดทำเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาขอสินเชื่อนั้น เนื่องจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีเครื่องมือและงบประมาณอยู่แล้ว ประธานที่ประชุมได้บัญชาให้ผู้แทนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นำเรียน อสอ. ว่าควรพิจารณาระดมเจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญ และพิจารณางบประมาณเพื่อช่วยผู้ประกอบการที่แจ้งประสงค์ขอกู้ในโครงการนี้ด้วย แหล่งที่มาข้อมูล เรียบเรียง : สิทธิชนคน กสอ.
05 ก.พ. 2558
สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม กรมเสริมอุตสาหกรรม ประกาศรับสมัครเจ้าหน้าที่จ้างเหมาบริการ ปฏิบัติงานด้านพัฒนาอุตสาหกรรม จำนวน 2 อัตรา
สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม กรมเสริมอุตสาหกรรม ประกาศรับสมัครเจ้าหน้าที่จ้างเหมาบริการ ปฏิบัติงานด้านพัฒนาอุตสาหกรรม จำนวน 2 อัตรา กำหนดรับสมัคร วันที่ 5-28 กุมภาพันธ์ 2558 โทรศัพท์ 02-202-4534 , 02-202-4523 ได้ในเวลาราชการทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น. ตามรายละเอียดที่แนบมาพร้อมนี้ ประกาศรับสมัคร
05 ก.พ. 2558
พลวัตของจีนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและนัยต่อประเทศไทย
การวิจัยในเชิงกว้างเข้าไปศึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าเปรียบเทียบลักษณะหน้าที่คล้ายกับของ ประเทศไทย ได้แก่ สภาพัฒน์ฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม BOI การลงพื้นที่ในแต่ละประเทศมุ่งไปที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และศึกษาตลาดผู้บริโภค การวิจัยเชิงลึก นักวิจัย เจาะลึกลงรายละเอียดของแต่ละแห่ง ได้แก่ ประเทศจีน เข้าไปศึกษามณฑลยูนนานทางตอนใต้ โดยเข้าไปศึกษาที่เมืองคุนหมิง และรุ่ยลี่ (Ruili) และเขตปกครองตนเองกว่างสีซึ่งอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เข้าไปศึกษาที่เมืองหนานหนิง (Nanning) ผิงเสียง (Pingxiang) ฉงจั๋ว (Chongzuo) ฟางเชิงกัง (Fangchenggang) และ ตงซิง (Dongxing) ประเทศกัมพูชา เข้าไปศึกษาที่เมืองพนมเปญ เสียมเรียบ สีหนุวิลล์ และกัมพง ประเทศลาว เข้าไปศึกษาองค์กรสำคัญของประเทศจีน ประเทศไทยที่อยู่ในประเทศลาวและองค์กรในประเทศลาว ประเทศพม่า เข้าไปศึกษาที่เมืองย่างกุ้ง นอว์ปิดอว์ มัณฑะเลย์ และ Kyaukpyu (จ้าวผิว) ประเทศเวียดนาม เข้าไปศึกษาที่เมืองฮานอย โฮจิมินท์ ตงใน และเทียนเกียง ผลการศึกษาวิจัยเรื่อง “พลวัตของจีนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและนัยต่อประเทศไทย” บทสรุปคัดย่อโดย นางสาวกัลยา วิริยะประสงค์ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หมายเลขโทรศัพท์ 0 2202 4539
03 ก.พ. 2558
แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย : ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย ตอนที่ 3 (ตอนจบ) : นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางพารา...ใครได้ใครเสีย แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราของไทยทั้งระบบที่รัฐบาลวางแผนดำเนินการไว้ มี 4 แนวทางคือ 1.เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนำยางมาใช้สร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นต้น พร้อมทั้งเร่งการโค่นต้นยางเก่าเพื่อลดอุปทานภายในประเทศ ทำให้ลดผลผลิตยาวในอนาคต 2.ผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น และการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น (แนวทางนี้เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแล้ว 2 โครงการ คือโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต วงเงินกู้ 15,000 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง วงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท หมายความว่ารัฐบาลยอมจ่ายเงิน 750 ล้านบาท แทนผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้เงินให้ธนาคารเจ้าหนี้ ในสองโครงการนี้) 3.สร้างตลาดการซื้อขายยางธรรมชาติ โดยเชื่อมโยงให้มีการทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบสินค้าจริงระหว่างเกษตรกรชาวสวนยางกับผู้ซื้อ 4.ร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางจัดการเก็บสต็อกยางร่วมกันนั้น ในแนวทางการ.เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนำยางมาใช้สร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นต้น พร้อมทั้งเร่งการโค่นต้นยางเก่าเพื่อลดอุปทานภายในประเทศ เพื่อให้ลดผลผลิตยางในอนาคต เป็นแนวคิดที่ถูกต้องเหมาะสมและมีมานานแล้ว แนวทางนี้จะไม่ถูกนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาดหากเป็นห่วงเวลาในยุครัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นเพียงหมึกที่เปื้อนติดกระดาษแค่นั้น เพราะมีข้อขัดข้องบางอย่างที่ไม่แสดงออกมาให้เห็นอีกจำนวนมากเปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็งที่ลอยน้ำมีส่วนของน้ำแข็งที่จมน้ำอยู่ก้อนใหญ่มากกว่าส่วนที่มองเห็น สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดในยุครัฐบาลที่มาจาก คสช. คือการสร้างอุปสงค์ยางพาราให้เกิดขึ้นด้วยการใช้การตลาดเป็นตัวขับเคลื่อน วิธีขับเคลื่อนที่ผู้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือคือการออกเป็นนโยบายหรือข้อสั่งการให้หน่วยงานภาคราชการเป็นการเฉพาะ ใช้วัสดุอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มียางพาราเป็นวัสดุหรือส่วนประกอบเป็นลำดับแรก เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบราชการ ต้องนำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 มาปรับปรุง/แก้ไขใหม่ ให้สนอบตอบต่อนโยบายในการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้นด้วย วิธีคิดแบบนี้จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของยางพาราโดยตรง ความคิดในการนำยางมาใช้ประโยชน์เป็นวัสดุแทนวัสดุอื่นสร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ นั้นมีมานานแล้ว มีหลายๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ศึกษา วิจัยคิดค้นไว้แล้วระดับหนึ่ง แต่ยังไม่นำมาประยุกต์ใช้และต่อยอดให้เกิดเป็นรูปธรรมออกสู่สาธารณะแม้แต่เรื่องเดียว ลองมาช่วยกันวิเคราะห์ดูถึงเหตุต่างๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องเหล่านี้ดูว่าเป็นเช่นไร เริ่มจากถ้าได้นำผลงานจากการศึกษา วิจัย คิดค้น การใช้ยางพาราเพื่อทดแทนวัสดุอื่นที่หน่วยงานต่างๆ ทำไว้มาทดลองทำเพื่อใช้งานจริงและรัฐบาลมีนโยบาย/ข้อสั่งการลงมาโดยอาจจะนำร่องทำในที่ใดๆ ก็ได้เช่น องค์การสวนยาง และหรือที่อื่นๆ เพื่อสร้าง/ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง ถนน ลานกีฬา ฯลฯ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ที่ปรับปรุง/แก้ไขให้เอื้อต่อนโยบายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศแล้ว จะเท่ากับเป็นการดึงปริมาณยางพาราเข้าสู่ระบบการผลิตและผลิตภัณฑ์ในเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างมากและทันที และต่อมาขยายผลการดำเนินงานรุกเข้าไปในพื้นที่ชุมชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของ อบต. อบจ. ตามลำดับ ผู้มีส่วนได้โดยตรงคือเกษตรกรชาวสวนยางจะจำหน่ายผลผลิตได้ราคาที่สูงขึ้นคุ้มค่าเหมาะสมเพราะปริมาณการใช้ยางเป็นที่ต้องการมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรม ส่งผลทางอ้อมให้ชีวิตความเป็นอยู่และสังคมดีขึ้น ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการอาจมีสองกลุ่มคือทั้งส่วนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จะมีแนวคิดในการใช้ยางพาราทำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทดแทนวัสดุอื่น ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ในระยะแรกต้องมีต้นทุนการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และลงทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้งานได้เหมาะสมดียิ่งขึ้น (สร้างความก้าวหน้าภาคการแปรรูปในอุตสาหกรรมยางให้สูงขึ้น) ในกลุ่มที่เสียประโยชน์อาจจะเป็นกลุ่มทุนที่ไม่ต้องการให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างผลิตภัณฑ์ใดๆ เข้ามาทดแทน ผลิภัณฑ์ที่ใช้วัสดุเดิมที่มีใช้อยู่แล้ว หากใช้ยางพาราเป็นวัสดุส่วนผสมในการสร้างถนนทดแทนวัสดุอื่นได้ คำถามที่ว่าวัสดุชนิดที่ใช้อยู่เดิมจะไปอยู่ที่ไหนในอุตสาหกรรม นี่เป็นเพียงหนึ่งเรื่องที่ชวนให้พิจารณา ผลประโยชน์ที่เคยได้รับกลับต้องเสียไปอย่างมหาศาลจะยอมรับได้หรือไม่ หากสถานการณ์เดินไปแบบนี้กลุ่มผู้เสียประโยชน์คงไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอนจะต้องมีกระบวนการอะไรบางอย่างออกมาเพื่อสกัดไม่ให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะใช้ยางพาราเป็นวัสดุประกอบแทนวัสดุอื่นสร้างถนนออกมาได้อย่างง่ายๆ เห็นอะไรที่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่บ้างหรือไม่ ด้วยการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่ต้องใช้เม็ดเงินอย่างมาก จึงอาจมีบางสิ่งหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งที่ส่งสัญญาณออกมาว่ามีความไม่คุ้มค่าในการลงทุน หรือศึกษาดูแล้วมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าการทำถนนแบบปัจจุบันมากเพื่อหวังผลเก็บโครงงานนี้ไว้ก่อน หากแนวคิดนี้เป็นจริงก็น่าเสียดายโอกาสในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก เมื่อพิจารณาว่าถ้านำเม็ดเงินที่จ่ายชดเชยแทนดอกเบี้ยเงินกู้ในสองโครงการนั้น จำนวน 750 ล้านบาท นำไปสร้างสิ่งปลูกสร้างหรือที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบทดแทนวัสดุอื่น หรือให้หน่วยงาน/องค์กรต่างๆ นำไปวิจัย/ค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างถนนด้วยยางพาราทดแทนวัสดุอื่น ผลการดำเนินงานถึงแม้จะเป็นการนำร่องและไม่ประสบผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์ แต่ความคุ้มค่าได้มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบเม็ดเงินจำนวนเดียวกันที่ภาครัฐต้องจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เพราะนำไปสร้าง/ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบทดแทนวัสดุอื่น ส่งผลโดยตรงถึงตัวเกษตรการชาวสวนยางพาราสามารถวัดค่าได้ การผลักดัดให้เกิดอุปสงค์ทำให้เกิดตลาดขนาดใหญ่นั้นรัฐบาลทำได้ด้วยการออกนโยบาย หรือข้อสั่งการ เช่น ให้ส่วนราชการท้องถิ่นสร้างหรือซ่อมถนนที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบ หรือพื้นลานกีฬา อุปกรณ์การกีฬา วัสดุและผนังกันกระแทรก ฯลฯ ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือเม็ดเงินจำนวน 750 ล้านบาท (เงินที่จะต้องนำไปชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ) จะถูกนำไปซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง (เกษตรกรชาวสวนยางได้รับประโยชน์โดยตรงเต็มเม็ดเต็มหน่วย) เพื่อนำไปแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาคการผลิตที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบจะหันมาสนใจลงทุนใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการสร้างถนนด้วยยางพารามากขึ้นเพราะมีตลาดขนาดใหญ่รองรับแน่นอน จะส่งผลให้เกิดสองเรื่องคือ การปรับโครงสร้างปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้สูงขึ้น และส่งเสริมการพัฒนาวิทยาสาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของยางพาราทดแทนวัสดุอื่น ภาคอุตสาหกรรมก็จะยกระดับการพัฒนาให้สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งอย่างต่อเนื่องและนโยบายอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการกีดกันทางการค้าเพราะเป็นการสร้างสาธารณูปโภคของประเทศ มองในระยะยาวแล้วคุ้มค่ามาก เพียงแต่รัฐบาลในยุค คสช. มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะออกมาตรการเพื่อให้ อบจ. และ อบต. นำไปปฏิบัติด้วยการให้สร้าง/ซ่อมสิ่งปลูกสร้าง ถนนและสาธารณูปโภคพื้นฐาน ในพื้นที่ที่ตนเองดูแลให้ใช้ยางพาราเป็นวัสดุประกอบ ผลที่เห็นชัดเจนคือยางพารามีช่องทางระบายออกสู่ตลาดที่ใหญ่มากๆ ลองเปรียบเทียบดูความคุ้มค่าผลที่คาดว่าจะได้รับกับเม็ดเงินที่ใส่ลงไปคงเห็นแนวทางที่ควรแล้วครับ แหล่งที่มาข้อมูล เรียบเรียง : สิทธิชนคน กสอ.
02 ก.พ. 2558
“สยามคาสเทค” สร้างศักยภาพให้ธุรกิจ พร้อมยกระดับการผลิตสู่สากล  
บริษัท สยามคาสเทค จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องจักรกลการเกษตรและชิ้นส่วนรถยนต์ บริหารงานโดยคุณกษิดิศ เงาเบญจกุล ทายาทที่เข้ามาช่วยเติมเต็มธุรกิจให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยความต้องการพัฒนาธุรกิจในด้านกระบวนการผลิตมีคุณภาพมากขึ้น จึงเข้าร่วมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน (Manufacturing Development to Improve Competitiveness Programme : MDICP) ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยตลอดระยะเวลา 8 เดือน ที่เข้าร่วมโครงการ บริษัทฯ ได้รับประโยชน์อย่างมาก จากการทำแผนธุรกิจทำให้พบปัญหาในกระบวนการผลิตตามขั้นตอนต่างๆ ที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และเมื่อได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุดก็ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ถึง 24 ล้านบาท นอกจากนี้ที่ปรึกษาโครงการยังช่วยให้คำแนะนำด้านการเชื่อมโยงไปยังคู่ค้ารายใหม่ๆ ให้ธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย รวมถึงการปรับปรุงการบริหารจัดการในโรงงาน จนปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับการรับรอง ISO 9001:2008 เพิ่มความเชื่อมั่นและยกระดับให้ธุรกิจมีมาตรฐานระดับสากล คุณกษิดิศ เงาเบญจกุล บริษัท สยามคาสเทค จำกัด 10/3, 11/6 หมู่ 6 ต.คลองกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000 ที่มา : รายงานประจำปี 2558 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ม.ค. 2558
หัตถกรรมใยตาล สินค้ามีระดับจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
จากจุดเริ่มของการรวมตัวของชาวบ้านในชุมชนเมื่อปี 2548 ภายใต้ชื่อ “กลุ่มโหนดทิ้ง” ได้สร้างสรรค์ผลงานหัตถกรรมใยตาลออกมาจำหน่าย ปัจจุบันมีการก่อตั้งเป็นบริษัท กลุ่มหัตถกรรมใยตาลสทิงพระ (กลุ่มโหนดทิ้ง) ภายใต้การบริหารงานของนายพีระศักดิ์ หนูเพชร และคุณพ่อ ซึ่งเป็นประธานชุมชน โดยมีวิสัยทัศน์ในการนำผลิต ภัณฑ์ของกลุ่มมาทำตลาดอย่างเป็นรูปธรรม และให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงกว้าง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด จึงได้เข้าร่วมโครงการ Digital OTOP ทำให้มีความรู้ด้านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาการตลาดด้วยการใช้สื่อดิจิทัล และเครือข่ายออนไลน์ในการต่อยอดธุรกิจ โดยกลุ่มได้ส่งผลงานประกวดด้านการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลในงาน “Digital OTOP Top Thai by DIP” ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จนได้รับรางวัลชนะเลิศ ถึงแม้บริษัทมีการจำหน่ายผ่านช่องทางดิจิทัลอยู่แล้ว ทั้งทางไลน์เพจและเว็บไซต์ แต่หลังจากได้เข้าร่วมโครงการ ทำให้มียอดสั่งซื้อจากลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณร้อยละ 20 นอกจากนั้นทางกลุ่มมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทันสมัยทุก 3 เดือน เพื่อเป็นการตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น คุณพีระศักดิ์ หนูเพชร กลุ่มหัตถกรรมใยตาลสทิงพระ (กลุ่มโหนดทิ้ง) 15 หมู่ 4 จะทิ้งพระ ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา 90190 โทรศัพท์ 08 1891 4831, 08 1609 2863 โทรสาร 0 7420 5161 ที่มา : รายงานประจำปี 2558 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ม.ค. 2558
เครื่องนวดข้าว “เกษตรพัฒนา” สร้างชื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
“ความเชื่อถือและความไว้วางใจในคุณภาพ ความรับผิดชอบ ความชำนาญและบริการ” เป็นสิ่งที่ คุณสมิหลา หยกอุบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานพัฒนาการเกษตรขอนแก่น จำกัด (เกษตรพัฒนาขอนแก่น) ยึดมั่นในการทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องนวดข้าว “เกษตรพัฒนา” ซึ่งเป็นเครื่องนวดข้าวอเนกประสงค์ที่นวดได้ทั้งข้าว เมล็ดข้าวโพด ข้าวฟ่าง ทานตะวัน ปอเทือง และถั่วผิวมันทุกชนิด ด้วยความที่บริษัทตั้งอยู่ใกล้ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 5 (ศภ.5 กสอ.) จังหวัดขอนแก่น ทำให้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ เป็นประจำ และได้ทราบว่า ศภ.5 ซึ่งอยู่ภายใต้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีโครงการที่ดี เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ SMEs เป็นจำนวนมาก จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ เริ่มจากโครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) รุ่นที่ 16 ต่อเนื่องมาจนถึงโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน (MDICP) และล่าสุดกับโครงการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกแก่ SMEs ด้วยระบบ LEAN เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคนิค LEAN (Lean Manufacturing Standard) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นให้แก่ SMEs โดยได้แก้ปัญหาตัวเลขสต๊อกอะไหล่ผิดเพี้ยนของบริษัทฯ ได้อย่างตรงจุด เพิ่มความแม่นยำของตัวเลขสต๊อกอะไหล่ให้เที่ยงตรงมากกว่า 23 รายการ จากทั้งสิ้น 36 รายการ และลดเวลาที่ใช้ในการผลิตงานประกอบท่อข้าวลีบลงได้ถึง 26% คุณสมิหลา หยกอุบล บริษัท โรงงานพัฒนาการเกษตรขอนแก่น จำกัด 20 ม.3 ถ.มิตรภาพ ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 โทรศัพท์ 0 4337 9114-7 โทรสาร 0 4337 9151 www.thaiagriworld.com ที่มา : รายงานประจำปี 2558 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ม.ค. 2558
"จะนะน้ำยาง" พัฒนากาวน้ำยางคุณภาพแน่นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
บริษัท จะนะน้ำยาง จำกัด ผู้ผลิตน้ำยางข้นและยางแท่งของคุณพวงทิพย์ เลิศบรรจง หนึ่งในผ฿้ประกอบกิจการผลิตน้ำยางข้นในจังหวัดสงขลาที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจควบคู่กับการดูแลชุมชนในการเพิ่มรายได้ โดยในปี 2558 ได้เข้าร่วมโครงงการพัฒนาเพิ่มมูลค่ายางและผลิตภัณฑ์ยางของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อต่อยอดการผลิตในเชิงนวัตกรรมสร้างโอกาสทางการตลาด และขยายกลุ่มผู้ปริโภคให้กว้างขึ้น โดยบริษัทฯ ได้พัฒนากาวน้ำยางจากน้ำยางข้นที่มีคุณสมบัติยึดติดได้ดี ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดทั่วไปถึง 10 เท่า และที่สำคัญไปกว่านั้นยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าแล้ว ขั้นตอนการผลิตที่มีการนำน้ำยางข้นจากการแยกครีมนำกลับมาผลิตกาวน้ำยางร่วมกับน้ำยางสดยังช่วยให้ลดต้นทุนวัสดุที่ใช้ในการผลิตได้อีกด้วย คุณพวงทิพย์ กล่าวว่า "ณ วันนี้เราเพิ่งได้ผลิตภัณฑ์กาวน้พยางชิ้นนี้ขึ้นมา ยังไม่ได้ทำการตลาดอย่างจริงจัง แต่เริ่มมีหลายหน่าวยงานสนใจ ติดต่อเข้ามาขอเยี่ยมชมและเริ่มทดลองนำไปใช้ ผลตอบรับจะเป็นอย่างไรนั้นกำลังอยู่ในช่วงติดตามผลซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ท่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ" คุณพวงทิพย์ เลิศบรรจง บริษัท จะนะน้ำยาง จำกัด 8/3 หมู่ 5 ถ.สงขลา-ปัตตานี ต.บ้านนา อ.จะนะ จ.สงขลา โทรศัพท์ 0 7420 7667 , 080 539 7709 ที่มา : รายงานประจำปี 2558 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ม.ค. 2558
จากความฝัน สู่แบรนด์เสื้อผ้า AD-HOC เน้นสีไม่ฉูดฉาด เอาใจหนุ่มสาววัยทำงาน
เมื่อมีความฝันอยากมีธุรกิจเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง และเพื่อทำให้ฝันเป็นจริง จึงลงมือศึกษาเรียนรู้ทั้งวิธีการดำเนินธุรกิจ การทำตลาดและการออกแบบสินค้าเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด คุณวิยะดา เตียวพงษ์พันธุ์ ก่อร่างสร้างแบรนด์เสื้อผ้า AD-HOC ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยดีไซน์ การใช้สีที่ไม่ฉูดฉาด เน้นสีขาว ดำ เทา กากี เจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและวัยทำงานในย่านสยามเซ็นเตอร์ และด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้แบรนด์สินค้าได้รับการตอบรับที่ดี ประกอบกับความต้องการพัฒนาฝีมือต่อยอดความรู้ในด้านการบริหารจัดการและออกแบบเสื้อผ้าจึงเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์และต่อยอดตราสินค้าสู่อาเซียน ในสาขาอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หลังจากเข้าร่วมโครงการ คุณวิยะดาสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนารูปแบบสินค้าได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ส่งผลให้ในปี 2558 มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นประมาณ 600,000 บาท สำหรับปี 2559 คุณวิยะดา วางแผนจะทำการตลาดในประเทศให้มากขึ้น และในอนาคตคาดว่าจะขยายสู่ตลาดอาเซียน และประเทศอื่นๆ ต่อไป คุณวิยะดา เตียวพงษ์พันธุ์ บริษัท เดอะ แอดฮอด สตูดิโอ จำกัด 303 ม.กฤษดานคร 18 ซอยอัญมณี 25 พุทธมณฑลสาย 3 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170 โทรศัพท์ 0 2888 2158, 08 1409 6788 ที่มา : รายงานประจำปี 2558 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ม.ค. 2558