กรุงเทพฯ 8 ธันวาคม 2568 - นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 5/2568 โดยมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายพลาวุธ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ตลอดจนคณะกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการจัดสรรเงินกองทุนภายใต้โครงการสนับสนุนเอสเอ็มอี รวมถึงร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อให้การส่งเสริมภาคธุรกิจมีความคล่องตัวและตรงจุดมากขึ้น
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ เปิดเผยว่า แม้เอสเอ็มอีไทยจะมีจำนวนมากถึง 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด แต่กลับมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพียง 35% จึงจำเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนมาตรการเสริมความแข็งแกร่งให้ฐานธุรกิจเอสเอ็มอีอย่างเป็นระบบ ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ปรับลดวงเงินสินเชื่อบางส่วน เพื่อนำไปสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนสำหรับดำเนินงานตามแผน “Quick Big Win” เพื่อเร่งพัฒนาเอสเอ็มอีทั่วประเทศ โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ประกอบการใน 9 จังหวัดภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเป็นอันดับแรก

พร้อมกันนี้ นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้เสนอให้ขยายกลุ่มเป้าหมายไปถึง  "กลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภาคบริการ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง" เพื่อให้ครอบคลุมขยายผลไปยังกลุ่มผู้ประกอบการภาคบริการ ให้มีศักยภาพในการเติบโตมากยิ่งขึ้น ขณะที่ผู้แทนจากหลายหน่วยงานได้เสนอให้พิจารณาผ่อนปรนคุณสมบัติการขอสินเชื่อเพื่อเพิ่มความคล่องตัวแก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งวางระบบติดตามประสิทธิผลด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และมาตรฐาน โดยให้ สสว. เป็นศูนย์กลางประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในช่วงท้ายการประชุม นายนภินทร ศรีสรรพางค์ ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันผลักดันงบประมาณเพื่อการส่งเสริมเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่องทุกปี พร้อมร่วมกำหนดเป้าหมายผลักดันสัดส่วน GDP ของเอสเอ็มอีให้เพิ่มเป็น 40% ภายในระยะเวลา 7 ปี ซึ่งถือเป็นทิศทางสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันและความยั่งยืนของเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ