Category
ขอเชิญชวนเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ "อุตสาหกรรมกัญชง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก"
ขอเชิญชวนเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ "อุตสาหกรรมกัญชง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก" ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย การสัมมนาออนไลน์ จัดผ่าน ZOOM และ facebook live ทางเพจ กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม วันที่ 6 สิงหาคม 2564 เวลา 08.30 – 12.00 น. ท่านจะได้เปิดมุมมองเรียนรู้กัญชงในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อนำมาต่อยอดความรู้และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของท่านให้ตอบโจทย์ตลาดกัญชงของประเทศไทย ผ่านการเสวนาจำนวน 5 หัวข้อที่กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมคัดมาเน้น ๆ ได้แก่ ทิศทางและภาพรวมอุตสาหกรรมกัญชง เทรนด์กัญชงในอุตสาหกรรมอาหาร การใช้กัญชงเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสุขภาพ กัญชงส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ก้าวทันกฎระเบียบการใช้กัญชงในอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านกัญชงจากหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน สถาบันอาหาร สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร มาถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างเข้มข้น ในระยะเวลา 3 ชั่วโมง สนใจรีบลงทะเบียน ด่วน‼️ ตั้งแต่วันนี้ - 5 ส.ค. 2564 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Facebook : กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
29 ก.ค. 2021
การสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการตามคู่มือสำหรับประชาชน (รอบที่ 2)
สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 โดยหน่วยงานภาครัฐมีการพัฒนา ปรับปรุงประสิทธิภาพให้บริการเพื่อเกิดความสะดวกให้แก่ผู้รับบริการ สำนักงาน ก.พ.ร. จึงกำหนดให้มีการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐตามที่กำหนดไว้ในคู่มือสำหรับประชาชน เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจในการให้บริการ ดำเนินการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนระหว่างเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2564
20 ก.ค. 2021
แจ้งหมายเลขโทรศัพท์สำหรับติดต่อกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในช่วงที่มีการใช้นโยบาย Work from Home
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) มีมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 โดยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของดีพร้อม ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work From Home) จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ดีพร้อม (DIPROM) จึงขอแจ้งเบอร์หมายเลขโทรศัพท์สำหรับติดต่อ ในช่วง Work From Home เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกท่านสามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวกยิ่งขึ้น สำนักงานเลขานุการกรม ฝ่ายบริหารงานทั่วไป เบอร์โทรศัพท์ : 08 6326 7589 อีเมล์ : ampornpan @dip.go.th กลุ่มประชาสัมพันธ์ เบอร์โทรศัพท์ : 06 2595 8531 ID Line : prdiprom Line : @diprom อีเมล์ : prdip1103@gmail.com กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม นางสาวลัลน์ลลิฐา กมลปลื้ม 09 7283 7744 กองพัฒนาดิจิทัลอุตสาหกรรม นายวาที พีระวรานุพงศ์ 08 4700 3798 นางนวลจิตต์ เรืองศรีใส 08 4387 8123 กองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม นายณฐกร วงษา 08 9718 6262 กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน นส.มัชฌิมา กาญจนอนันต์ 06 3203 4056 นส.สุพรรณี ชุ่มเพ็งพันธ์ 08 9836 1496 กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ นางวันเพ็ญ รัตนกังวาล 08 1429 8209 กองยุทธศาสตร์และแผนงาน นางสุชาดา โพธิ์เจริญ 09 2246 2141 นางอรพิน อุดมธนะธีระ 09 9625 9249 กองโลจิสติกส์ นางสาวชลาริน นิลพิฤกษ์ 09 1436 6626 กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ นายพลาวุธ วงศ์วิวัฒน์ 09 8969 4196 ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นางเกษราภรณ์ โกวิทลวากุล 09 2246 7680 นางสาวเดือนมนัส มุตติ 08 3025 0753 กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม นางสาวอริยาพร อำนรรฆสรเดช 09 0198 5980 นางสาวศศิวิมล สุทธิเลิศ 08 4438 9710
20 ก.ค. 2021
คิดเห็นแชร์ : กระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยกลไกการจัดซื้อภาครัฐ
คอลัมน์ : คิดเห็นแชร์ (มติชนออนไลน์) ผู้เขียน : นายณัฐพล รังสิตพล (อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม) สวัสดีแฟนๆ คิดเห็นแชร์ทุกท่านครับ เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังพบการกลายพันธุ์ของเชื้อที่ทำให้เกิดการระบาดเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว แม้ว่ารัฐบาลจะเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เพื่อสร้างให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และลดการแพร่ระบาดของเชื้อแล้ว แต่ผมก็อยากให้ทุกท่านยังคงระมัดระวังตัว และรักษาวินัยต่อตนเองและสังคม เพื่อเป็นปราการต้านโรคโควิด-19 ที่เราจะร่วมด้วยช่วยกันได้คนละไม้คนละมือครับ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2563 ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ Gross Domestic Product (GDP) หรือจีดีพีของไทย อยู่ที่ -6.1% แต่ในปีนี้ เราอาจยังพอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้าง เพราะล่าสุด สภาพัฒน์ได้คาดการณ์ว่าจีดีพีของปีนี้จะขยายตัว ราว 1.5-2.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกที่สอดคล้องกับการเร่งฉีดวัคซีนของหลายๆ ประเทศทั่วโลก และแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ หรือ Government Spending (G) ที่เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของจีดีพี ได้แก่ 1.Consumption (C) มูลค่าการบริโภคของภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป 2.Investment (I) มูลค่าการลงทุนจากภาคเอกชน 3.Government Spending (G) ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการ หรือการลงทุนในโครงการต่างๆ 4.Export (X) มูลค่าการส่งออก และ 5.Import (M) มูลค่าการนำเข้า โดยจีดีพีถือเป็นตัวบ่งบอกถึงมาตรฐานการครองชีพของประชากรในประเทศ และสามารถคำนวณได้จากสูตร GDP = C + I + G + (X – M) เมื่อเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทำให้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนจีดีพีที่มีอยู่ 5 ส่วนก็เริ่มทำงานติดขัด เช่น (C) หรือมูลค่าการบริโภคของภาคเอกชนที่ลดลงตามรายได้และกำลังซื้อ และ (I) หรือมูลค่าการลงทุนจากภาคเอกชนที่อยู่ในระดับต่ำเพราะนักลงทุนขาดความมั่นใจในเสถียรภาพของเศรษฐกิจในยุคโควิด-19 ดังนั้น ในภาวะฝืดเคืองเช่นนี้ ไอเท็มลับที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการและหยิบมาใช้ได้ทันทีเพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจภายในประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ คือ (G) หรือการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดยปรับให้ส่วนราชการ ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุและสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยจากทั้งนักธุรกิจ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และวิสาหกิจทั่วประเทศแทนการนำเข้า โดยแต่ละปีงบประมาณการจัดซื้อจัดจ้างเฉลี่ยอยู่ที่ 1.77 ล้านล้านบาท จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะกระจายเม็ดเงินเหล่านี้ให้ถึงมือผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจโดยไม่ขัดต่อกติกาการค้าสากล แนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของภาครัฐและแนวคิดการเพิ่มการพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ (Economic Self-Reliance) ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้แบบเฉพาะกิจเพื่อรักษาความแข็งแรงของระบบเศรษฐกิจในประเทศ เช่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่ารัฐบาลกลางของสหรัฐจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผลิตในประเทศเท่านั้น เพื่อผลักดันให้สหรัฐเป็นผู้นำการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลกและเพิ่มการจ้างงานสำหรับชาวอเมริกันอีกกว่า 1 ล้านคน นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย มีคำสั่งระงับการขึ้นทะเบียนนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสื่อสาร อาทิ โทรศัพท์สมาร์ทโฟน ลำโพงบลูทูธ และหูฟังไร้สาย เป็นการชั่วคราว ซึ่งมีนัยสำคัญเพื่อส่งเสริมให้อินเดียเป็นผู้นำด้านการประกอบชิ้นส่วนสมาร์ทโฟนในเอเชียใต้ และจูงใจให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติหันมาลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสื่อสารในอินเดีย สำหรับประเทศไทยนั้น เมื่อรายได้หลักจากต่างประเทศที่เคยพึ่งพา ทั้งจากการส่งออกและการบริการลดน้อยลง เราจึงต้องหันมาบริหารกระแสเงินสดภายในประเทศให้หมุนวนหลายๆ รอบเพื่อกระจายไปถึงทุกภาคส่วนโดยถ้วนหน้า จึงเป็นที่มาของนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการบริโภคสินค้าภายในประเทศผ่านระบบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ โดยมี 2 มาตรการสำคัญ คือ 1.THAI SME-GP สำหรับเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รับผิดชอบโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ 2.Made in Thailand (MiT) เป็นการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการไทยที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ ไม่น้อยกว่า 40% ในการผลิต รับผิดชอบโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นหน่วยงานพิจารณาออกใบรับรอง แนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของภาครัฐและแนวคิดการเพิ่มการพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ (Economic Self-Reliance) ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้แบบเฉพาะกิจเพื่อรักษาความแข็งแรงของระบบเศรษฐกิจในประเทศ เช่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่ารัฐบาลกลางของสหรัฐจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผลิตในประเทศเท่านั้น เพื่อผลักดันให้สหรัฐเป็นผู้นำการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลกและเพิ่มการจ้างงานสำหรับชาวอเมริกันอีกกว่า 1 ล้านคน นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย มีคำสั่งระงับการขึ้นทะเบียนนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสื่อสาร อาทิ โทรศัพท์สมาร์ทโฟน ลำโพงบลูทูธ และหูฟังไร้สาย เป็นการชั่วคราว ซึ่งมีนัยสำคัญเพื่อส่งเสริมให้อินเดียเป็นผู้นำด้านการประกอบชิ้นส่วนสมาร์ทโฟนในเอเชียใต้ และจูงใจให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติหันมาลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสื่อสารในอินเดีย สำหรับประเทศไทยนั้น เมื่อรายได้หลักจากต่างประเทศที่เคยพึ่งพา ทั้งจากการส่งออกและการบริการลดน้อยลง เราจึงต้องหันมาบริหารกระแสเงินสดภายในประเทศให้หมุนวนหลายๆ รอบเพื่อกระจายไปถึงทุกภาคส่วนโดยถ้วนหน้า จึงเป็นที่มาของนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการบริโภคสินค้าภายในประเทศผ่านระบบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ โดยมี 2 มาตรการสำคัญ คือ 1.THAI SME-GP สำหรับเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รับผิดชอบโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ 2.Made in Thailand (MiT) เป็นการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการไทยที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ ไม่น้อยกว่า 40% ในการผลิต รับผิดชอบโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นหน่วยงานพิจารณาออกใบรับรอง โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้เริ่มใช้มาตรการ Thai SME-GP และ Made in Thailand (MiT) ในการจัดซื้อจ้างวัสดุ-ครุภัณฑ์ในสำนักงาน อีกทั้งยังได้กระจายนโยบายดังกล่าวไปยังศูนย์ภาคทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศ โดยทั้ง 2 มาตรการนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ด้านราคาสำหรับผู้ประกอบการไทยในกรณีแข่งขันกับบริษัทต่างชาติเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคการผลิตในประเทศ และยังช่วยสนับสนุนให้เกิดการส่งต่อเทคโนโลยีเข้ามาในประเทศและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศอีกทางหนึ่งอีกด้วย ท้ายที่สุด แม้อาจเกิดเสียงวิจารณ์ว่าเหตุใดหน่วยงานรัฐจึงเลือกซื้อสินค้าราคาสูง แต่การใช้จ่ายเงินของภาครัฐเพื่ออุดหนุนสินค้าไทย ที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทย ย่อมเป็นการช่วยกักเก็บเงินให้ไหลกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและห่วงโซ่การผลิต เกิดการจ้างงานและการบริโภค เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล ส่งผลให้ตัวเลขจีดีพีเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยพยุงผู้ประกอบการไทยให้ก้าวพ้นวิกฤตในตอนนี้ไปได้ ผ่านการนำเงินในส่วนของภาครัฐที่เปรียบได้กับเงินเก็บก้นถุงมาอุดหนุนธุรกิจในประเทศให้สามารถพลิกฟื้นกลับมาแข็งแกร่งได้ในเร็ววันครับ ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/news_2807972
16 ก.ค. 2021
กิจกรรมบริการข้อมูลธุรกิจ และให้คำปรึกษาแนะนำเบื้องต้น
How to รอด?...รอดวิกฤติโดยผู้เชี่ยวชาญ บริการให้คำปรึกษาแนะนำและ Coaching โดยผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ การตลาด/การจัดการ/บุคลากร/Happy Workplace สุขอนามัยและความปลอดภัยในที่ทำงาน การผลิต/Lean/ระบบมาตรฐาน/Supply Chain บัญชีและการเงิน ระบบไอทีเพื่อการจัดการบริหาร อื่น ๆ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณณัฎฐ์ทิตา เสนาทิพย์ 0 2215 3313 sme.consult2021@gmail.com
15 ก.ค. 2021
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) ขอแจ้งเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ 0 2430 6860
ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SSRC) 0 2430 6860 ต่อ 1919 กองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 0 2367 8001 กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 0 2367 8021 กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน 0 2367 8335 สำนักงานเลขานุการกรม 0 2430 6865-66 กองยุทธศาสตร์และแผนงาน 0 2430 6867-68 กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม 0 2430 6869-70 กองพัฒนาดิจิทัลอุตสาหกรรม 0 2430 6871-72 กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ 0 2430 6873-74 กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม 0 2430 6875-76 กองโลจิสติกส์ 0 2430 6877-78
07 ก.ค. 2021
สุริยะ สั่งการ ดีพร้อม นำเอสเอ็มอี ฝ่าวิกฤตคลัสเตอร์โรงงานโควิด-19
สุริยะ สั่งการ ดีพร้อม นำเอสเอ็มอี ฝ่าวิกฤตคลัสเตอร์โรงงานโควิด-19 กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) หรือ “ดีพร้อม” เร่งช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในโรงงาน ผ่านการติวเข้มทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อเติมวัคซีนความรู้เฉพาะทางด้านอาชีวอนามัย ประยุกต์ใช้งานโปรแกรมดิจิทัลเพื่อช่วยลดความแออัดในโรงงาน พร้อมปรับใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมในการบริหารจัดการสถานประกอบการให้ปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19 รวมทั้งแชร์ประสบการณ์ตรงจากผู้ประกอบการต้นแบบเพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19 คาดว่าสามารถช่วยพยุงเอสเอ็มอีทั่วประเทศให้พร้อมรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานได้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันระลอกใหม่นี้ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน รวมถึงผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการรายย่อย ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะที่กำกับและดูแลโรงาน สถานประกอบการภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ได้เห็นถึงความสำคัญและได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือในการส่งเสริม สนันสนุนเทคโนโลยีดิจิทัล และองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรมและสถานประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผมจึงได้สั่งการให้ “ดีพร้อม” เร่งจัดคอร์สเฉพาะกิจเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเน้นเสริมความรู้ที่จำเป็นสำหรับบริหารจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึงการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานและสถานประกอบการให้ได้อย่างทันท่วงที นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระรอกใหม่ ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของประเทศไทย ยังต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิตและส่งออกเป็นหลัก โดยฟันเฟืองสำคัญที่เป็นรากฐานของการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและจีดีพีของไทยกว่าร้อยละ 35 คือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งยังต้องพึ่งพาแรงงานในการผลิตสินค้าเช่นเดียวกับโรงงานขนาดใหญ่และอาจเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ดังนั้น “ดีพร้อม” ได้ขานรับนโยบายและความห่วงใยของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้สำรวจปัญหาและความต้องการจริงของเอสเอ็มอีทั่วประเทศและนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำโครงการเร่งด่วน “ช่วยเอสเอ็มอีแบบดีพร้อม นำธุรกิจปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19” ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาหลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในแบบฉบับของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เน้นทำได้ฟรี ทำได้ไว และใช้ได้จริง โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เน้นชู 3 มิติ ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ 1) การปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ด้วยการลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต (Lean) และลดความแออัดในโรงงานด้วยโปรแกรมดิจิทัลเฉพาะทางที่พัฒนาโดยคนไทย 2) การประยุกต์ใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมและวิธีบริหารจัดการโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการผลิต และ 3) การเสริมความรู้และเทคนิคด้านสุขอนามัยและอาชีวอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดระหว่างโรงงานและชุมชน โดยมีไฮไลต์สำคัญ คือ การแชร์ประสบการณ์จากผู้ประกอบการต้นแบบในการรับมือและพลิกฟื้นจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานที่เกิดขึ้นจริง พร้อมจัดทัพที่ปรึกษาเพื่อให้คำแนะนำด้านอาชีวอนามัยและสุขอนามัยแก่ผู้ประกอบการตามความต้องการ โดยโครงการนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 - 18 มิถุนายน 2564 ในรูปแบบการอบรมออนไลน์ผ่าน Facebook Live ทาง Fanpage : DIProm Station ของดีพร้อมเอง เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมฟังได้อย่างสะดวกและทั่วถึง ทั้งนี้ การดำเนินโครงการในครั้งนี้ มีจุดประสงค์หลักเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันแก่โรงงานและสถานประกอบการที่ต้องอาศัยแรงงานในกระบวนการผลิตให้ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่อาจทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักลง โดยมุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในเชิงรุกผ่านการพัฒนาความรู้ในเชิงทฤษฎีและเสริมด้วยการใช้โปรแกรมดิจิทัลเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ได้จริง อีกทั้ง ยังนำเอาองค์ความรู้ในภาคอุตสาหกรรมมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริหารจัดการองค์กรให้ผู้ประกอบการสามารถยืนหยัดท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างมั่นคง และรอดพ้นจากความเสี่ยงคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรมได้โดยตลอดรอดฝั่ง นายณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย เอกสารประกอบ
10 มิ.ย. 2021